วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ถลกหนังหมอที่ประพฤติตัวแย่ๆ ตอนที่2



คลิปยูทูป

จวก อ.หมอ ม.สงขลานครินทร์ พูดหยาบคาย พาดพิงนายกปู เวทีกปปส.

อันที่จริงก็มีเพจเพื่อน ๆ ด้วยกันทำเรื่องทุจริต 
ในวงการแพทย์ออกมาเป็นซีรีส์อยู่แล้ว แต่ระยะนี้เห็นบรรดา
หมอ ๆ ทั้งหลายออกมาเคลื่อนไหว ขับไล่รัฐบาล

กล่าวหาว่า รัฐบาลคอรัปชั่นนี่แหละทำให้อดใจไม่ได้
ทุจริตในวงการหมอ ๆ นี่แทบจะเรียกว่าหลับตา ควานเข้าไปใน
วงการสาธารณะสุข หรือเรียกกันให้เข้าใจง่าย ๆ

ว่าวงการเสื้อกาวน์เนี่ย จะต้องติดเรื่องทุจริตไม่เรื่องใด
เรื่องหนึ่งติดมือมาอย่างแน่นอน อย่างที่เคยเรียนว่าในสาย
ตาของสังคม หมอหรือนายแพทย์เป็นบุคคลที่ทรงคุณค่ามีต้น
ทุนทางสังคมสูง เวลาทุจริตคดโกงมักจะเนียน

เวลามีเรื่องฉาวโฉ่ปูดขึ้นมา โน่นแน่ะครับ โยนบาป
ไปให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ข้างฝ่ายรัฐมนตรี เจ้ากระทรวงก็
โง่ซื้อบื้อ แต่ขี้โกงคอยรับ ผลประโยชน์อย่างเดียว

อย่างครั้งสมัยนายวิทยา แก้วภารดัยเป็น รมต.
สาธารณะสุข เสวยผลประโยชน์จนพุงปลิ้น เวลาเกิดเรื่องทุจริต
ขึ้นมา พวกบรรดาหมอ ๆ ตัวการนั่นแหละโยนบาปให้นายวิทยา
คนเดียว จนนายวิทยาต้องพ้นตำแหน่ง

ส่วนตัวการตัวจริง ก็นอนทับผลประโยชน์ต่อไป
ตีหน้าซื่อบริสุทธิ์ต่อไป แบบนี้วิญญูชน ทั้งหลายคิดว่าใคร
ชั่วกว่ากันระหว่าง รัฐมนตรีโง่แต่ขี้โกง กับบรรดาหมอที่ประพฤติ
ตนเป็นหมาเจ้าเล่ห์ฉลาดแต่ขี้โกงเนี่ย

นี่ก็อีกกลโกงหนึ่งของหมอ(หมา ๆ) ในการซื้อเครื่องตรวจเลือด

ในรายการ จัดสรรงบไทยเข้มแข็ง ยุครัฐบาลของนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะในครั้งนั้น มีเครื่องตรวจสารชีวเคมีในเลือด (Automate chemistry) รวมทั้งเครื่องตรวจนับเม็ดเลือดอัตโนมัติ รวมอยู่ด้วย

จากการตรวจสอบพบว่า โรงพยาบาลเกือบทั้งหมด
ไม่ได้ขอ และไม่มีความจำเป็นต้องจัดซื้อ ได้มาฟรีโดยไม่มี
เหตุผลอีกแล้ว

ในปัจจุบันก ารจัดซื้อเครื่องมือตรวจเลือด ตรวจทางห้อง
ปฏิบัติการ ของเกือบทุกโรงพยาบาลนั้น จะไม่มีการซื้อเครื่องแล้ว
แต่จะทำสัญญากับบริษัท ขายวัสดุชันสูตร ให้มาวางเครื่องให้โรง
พยาบาลใช้ และรับดูแลบำรุงรักษา ให้โดยไม่คิดมูลค่า

แม้ว่าตัวเครื่องจะมีราคาเป็นล้าน และเมื่อมีเทคโนโลยี
ที่ทันสมัยกว่า บริษัทก็ดำเนินการเปลี่ยนเครื่องให้เอง โดย
โรงพยาบาล เพียงแต่ซื้อน้ำยาเคมี จากบริษัทผู้ขาย

หากเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ บริษัทฯ จะนำเครื่องมา
ให้บริการโดยคิดค่าบริการเป็นรายครั้ง โดยไม่ต้องซื้อทั้งเครื่อง
และน้ำยา ซึ่งถือเป็นการจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

เป็นประโยชน์กับราชการมากที่สุด เช่นเดียวกับเครื่องคอม
พิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร หรือแม้แต่รถยนต์ของทางราชการ

เดี๋ยวนี้การบริหารจัดการในยุคใหม่ ต่างก็เลิกซื้อเองแล้ว
จะใช้วิธีการเช่าเครื่องซึ่งดีที่สุด

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบข้อมูลจาก 4 โรงพยาบาล
ชุมชนในจังหวัดขอนแก่น ได้ให้ข้อมูลว่า ได้รับจัดสรรโดยมิได้
มีคำขอ โดยมีตัวแทนบริษัทไปติดต่อว่า จะมีสเปคจากส่วนกลาง
ลงมา ซึ่งพบว่าตรงกับของบริษัทตัวแทนนั้น

คือบริษัท Imed โรงพยาบาลชุมชนในอุบลราชธานี
มีตัวแทนบริษัทชื่อ Imed โทรศัพท์ไปติดต่อในลักษณะข่มขู่
ให้จัดทำสเปค ที่เอื้อต่อบริษัทของตนเอง

โรงพยาบาลชุมชนในจังหวัดกาฬสินธุ์ ให้ข้อมูลว่า
มีบริษัทขายวัสดุ ชันสูตรไปติดต่อ แจ้งว่าสามารถจะช่วยให้
โรงพยาบาลได้ครุภัณฑ์การแพทย์ 2 รายการนี้

เพียงทำ คำขอเป็นลายลักษณ์อักษร แล้วบริษัท
จะติดต่อขอการจัดสรรจากกระทรวงสาธารณสุขให้เอง

จากการตรวจสอบชื่อ ผู้ถือหุ้นของบริษัท Imed laboratory
จำกัด ซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องกับครุภัณฑ์ 2 รายการนี้ พบรายชื่อผู้
ถือหุ้น รายหนึ่งเป็นเพื่อน ใกล้ชิดกับ นพ.สุชาติ เลาบริพัตร

ผู้อำนวยการสำนักบริหารสาธารณสุขภูมิภาค โดยเป็น
เพื่อนสนิท ร่วมรุ่นที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล รุ่นที่ 91
ซึ่งประเด็นดังกล่าว ควรมีการสอบสวนข้อเท็จจริง เพิ่มเติม

และสืบต่อไปว่าใครที่อยู่เบื้องหลัง กรณีนี้ชัดเจนว่า
มีการจัดสรรให้เกินความจำเป็น คิดราคาซื้อเครื่อง ที่ยังไม่แน่ชัด
ในคุณภาพเครื่องละ 3,000,000 บาท ถึง 40 เครื่อง คิดเป็นมูลค่า
120 ล้านบาท

เช่นเดียวกับเครื่องนับเม็ดเลือด อัตโนมัติ ตรวจพบว่า
มีการจัดสรร 16 เครื่อง ราคาเครื่องละ 800,000 บาท คิดเป็น
มูลค่า 12.8 ล้านบาท รวม 2 รายการคิดเป็น 132.8 ล้านบาท

ซึ่งควรใช้วิธีการซื้อน้ำยา โดยให้บริษัท มาวางเครื่อง
เช่นที่เป็นอยู่โดยปกติ ดังนั้นชมรมแพทย์ชนบทจึงได้เสนอให้
ทบทวนตัดออกทั้งหมด หากพิจารณายกเลิกการจัดสรรทั้ง 2 ราย
การนี้ จะสามารถประหยัดงบประมาณได้ถึง 132.8 ล้านบาท
เงินกู้ก้อนนี้ ช่วยคนจนได้อีกมาก ทีเดียว

เครื่องช่วยหายใจ มุ่งต่อลมหายใจใคร

เครื่องช่วยหายใจ (Respirator) เป็นครุภัณฑ์อีกชิ้น
ที่ส่งกลิ่นรุนแรง ไม่เฉพาะราคากลางที่สูงเกินจริง แต่ยังจัดสรร
ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ครุภัณฑ์ชิ้นนี้ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม

ราคา ตามความแตกต่างเรื่องคุณสมบัติ
และความสามารถในการทำงาน คือ

ก. แบบมาตรฐานทั่วไป (Volume Respirator) กำหนดราคา
เครื่องละ 1,000,000 บาท
ข. แบบหย่าเครื่องอัตโนมัติ (Auto Weaning) กำหนดราคา
เครื่องละ 1,200,000 บาท
ค. แบบสามารถวัดความจุปอด (Vital Capacity) กำหนดราคา
เครื่องละ 1,500,000 บาท

เครื่องช่วยหายใจเหล่านี้ เป็นเครื่องช่วยหายใจที่มี
ระบบการทำงานยุ่งยาก ซับซ้อน ควรจัดสรรให้แก่ โรงพยาบาล
ที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง คือ อายุรแพทย์ประจำ

และควรจัดสรรให้แบบมาตรฐานทั่วไปเท่านั้น
เครื่องช่วยหายใจแบบ ข. และ ค. มีความจำเป็นต้องใช้น้อย
มาก อาจชวนให้ตั้งคำถามได้ว่า “เป็นการส่อเจตนา เปิดช่องให้มีการแสวงหาผลประโยชน์หรือไม่”

ตัวอย่างของความไม่เหมาะสมเช่น โรงพยาบาล
สกลนคร ขอรับจัดสรรเครื่องช่วยหายใจ แบบมาตรฐานทั่ว
ไป 6 เครื่อง แต่ได้รับจัดสรร แบบสามารถวัดความ จุปอด
เครื่องละ 1.5 ล้านบาทแทน

และได้จัดสรรเพียง 3 เครื่องจากที่ขอไป 6 เครื่อง
เป็นเหตุให้ ไม่สามารถเปิด หออภิบาลผู้ป่วยหนัก หรือไอซียู.
(Intensive Care Unit -ICU) อีก 1 ห้องตามแผนได้

ยังมีโรงพยาบาลศูนย์ / ทั่วไปหลายแห่ง ที่ได้รับ
จัดสรรเครื่องช่วยหายใจแบบสามารถวัดความจุปอด ซึ่งน่า
จะเกินความจำเป็น เช่น โรงพยาบาลศูนย์สระบุรีได้ 8 เครื่อง

โรงพยาบาลศูนย์สงขลาได้ 9 เครื่อง
โรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่ ได้ 10 เครื่อง
โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ได้ 8 เครื่อง
โรงพยาบาลหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ ได้ 9 เครื่อง

การจัดสรรเครื่องช่วยหายใจนี้ มีการจัดสรร ให้
โรงพยาบาลชุมชนด้วย โดยกระจุกตัว ในบางจังหวัด เช่น
รพ.ป่าโมก
รพ.โพธิ์ทอง
รพ.ไชโย จ. อ่างทอง
ได้รับจัดสรรแบบวัดความจุปอด แห่งละ 1 เครื่อง
และ รพ.กระบุรี ระนอง ได้รับจัดสรรแบบ หย่าเครื่องอัตโนมัติ
1 เครื่อง รพ.แสวงหา จ.อ่างทอง เป็นโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง

ไม่มีอายุรแพทย์ ประจำได้รับจัดสรร แบบมาตรฐานทั่วไป
และแบบสามารถวัดความจุปอด แบบละ 1 เครื่อง รวม 2 เครื่อง
ขณะที่ รพ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด
ใหญ่กว่า และมีอายุรแพทย์ประจำ ได้รับจัดสรรแบบมาตรฐานทั่วไป 1 เครื่อง รพ.สมเด็จพระยุพราชเชียงของ จ.เชียงราย ต้องการเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพราะมีปัญหาไฟฟ้าดับบ่อย แต่ได้เครื่องช่วยหายใจ
แบบหย่าเครื่องอัตโนมัติ 1 เครื่องแทน อันนี้จัดสรรตามใจใครไม่รู้

และจากการตรวจสอบราคา การจัดซื้อเครื่องช่วย
หายใจแบบมาตรฐานทั่วไป ปีงบ 2551–2552 ของโรงพยาบาล
ต่างๆ โดยใช้งบลงทุนหลักประกันสุขภาพ ถ้วนหน้า หรือเงินบำรุง
ของโรงพยาบาล จัดซื้อได้ในราคา 700,000 – 850,000 บาท

และที่กระทรวงสาธารณสุข จัดสรรให้แก่โรงพยาบาล
ศูนย์/ทั่วไป เพื่อเตรียมรับ การระบาดของไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่
2009 จัดซื้อเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2552 ก็มีราคาที่ 850,000
บาท แต่ราคาที่ตั้งไว้ในโครงการไทยเข้มแข็งสูงถึง 1 ล้านบาท
ทั้งที่เป็นช่วงเวลาเดียวกัน

เปรียบเทียบการตรวจสอบ ราคาการจัดซื้อ เครื่องช่วย
หายใจแบบมาตรฐานทั่วไป งบลงทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
700,000 - 850,000 บาท สธ.จัดสรรให้แก่รพ.ศูนย์/ทั่วไป 850,000
บาท โครงการไทยเข้มแข็ง 1 ล้านบาท

งบประมาณครุภัณฑ์รายการนี้ รวม 446.6 ล้านบาท
หากจัดซื้อตามที่จำเป็น และเหมาะสม คือ แบบมาตรฐาน
ทั่วไป ราคาเครื่องละ 850,000 บาท จะประหยัดเงินได้อย่างน้อย 195.75 ล้านบาท

สามารถนำไปจัดซื้อเครื่อง ช่วยหายใจแบบมาตรฐานทั่วไป
ให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ ได้อีกกว่า 200 เครื่อง ช่วยคนได้อีกตั้ง
200 คนต่อวันทีเดียว

เครื่องช่วยหายใจที่มีการจัดสรรครั้งนี้ จึงทำท่าจะไม่ได้
ต่อลมหายใจ ของผู้ป่วยเสียแล้ว น่าจะต่อลมหายใจ ของนักการ
เมืองเพื่อเตรียม กระสุนไปใช้ในการเลือกตั้งมากกว่า

เครื่องดมยาสลบ จัดให้ไปประดับเป็นอนุสาวรีย์
ปกติ เครื่องดมยาสลบที่ใช้ทั่วไป ราคาเครื่องละประมาณ 1 ล้าน
บาท ดังที่โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่

ได้เสนอขอเครื่องดมยาสลบ 3 เครื่อง ราคาเครื่องละ
1 ล้านบาท และโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ก็ได้รับจัดสรร
เพื่อพัฒนาศูนย์อุบัติเหตุ จำนวน 4 เครื่อง ราคาเครื่องละ 1 ล้านบาท

แต่การจัดสรร งบประมาณในครั้งนี้ มีการจัดสรร
เครื่องดมยาสลบ ที่อาจเกินความจำเป็น อีก 2 แบบ ได้แก่
แบบมี BIS Monitor (Bi Spectral Index System)

คือ การวัดระดับความลึก ของการดมยาสลบ
จะมีประโยชน์ เฉพาะโรงพยาบาล ที่มีวิสัญญีแพทย์ ที่ยังไม่มี
ประสบการณ์ประจำ ราคาเครื่องสูงถึง 2 ล้านบาท

และเครื่องแบบมี Electronic Charting คือ เครื่องดม
ยาสลบที่มีซอฟท์แวร์ สามารถต่อแสดงการบันทึก การใช้ยา
ออกมายังจอคอมพิวเตอร์ ที่เหมาะกับการฝึก อบรมวิสัญญีแพทย์

และเพื่อการศึกษาวิจัย เครื่องนี้ตั้งราคาไว้
3 ล้านบาท ซึ่งโรงเรียนแพทย์ยังไม่ค่อยจะมีใช้เลย

ปรากฏว่า โรงพยาบาลชุมชน เกือบทั้งหมด
ไม่มีวิสัญญีแพทย์แต่ได้รับจัดสรรเครื่องแบบมี BIS Monitorเช่น

โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช (รพร.)ด่านซ้าย จ.เลย ,
รพร. หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์,
รพร.นครไทย จ.พิษณุโลก,
รพร.ยะหา จ.ยะลา ,
รพร.หลังสวน จ.ชุมพร ,
รพ.พาน จ.เชียงราย ,
รพ. ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ,
รพ.เกาะคา จ.ลำปาง
ที่น่าเกลียดกว่านั้น คือมีบางแห่ง ได้รับจัดสรรแบบมี
Electronic Charting ด้วย โดยไม่ได้ร้องขอ เช่น.

รพ. ศรีประจันต์ สุพรรณบุรี,
รพ.พิบูลมังสาหาร อุบลราชธานี,
รพ.วารินชำราบ อุบลราชธานี ,
รพ. 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ์ มูลค่าครุภัณฑ์รายการนี้
รวม 198 ล้านบาท

หากทบทวนจัดสรร ให้เหมาะสมกับระดับ ความสามารถ
ของโรงพยาบาล และมีการกำหนดราคาอย่างเหมาะสม จะ
ประหยัดงบประมาณได้ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท สามารถนำไป
จัดสรรเพิ่มได้อีกมากกว่า 30 เครื่อง

เครื่องพ่นยุง รอพ่นพิษ
เครื่องพ่นยุงแบบติดรถยนต์ มีการตั้งงบ ประมาณ
จัดซื้อครุภัณฑ์รายการนี้ ให้แก่จังหวัดต่างๆ ที่เป็นที่ตั้งของ
เขตตรวจราชการ 18 เขต 18 เครื่อง เครื่องละ 885,000 บาท

รวมมูลค่า 15,930,000 บาท พบความผิดปกติ
ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้านี้มีการเขียนโครงการเฝ้าระวังป้องกัน
ควบคุมโรคปวดข้อ (ชิกุนคุนยา) และโรคไข้เลือดออก

เพื่อให้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อซื้อครุภัณฑ์
รายการนี้ จากสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค
ในลักษณะเร่งด่วนผิดปกติ โดยมีบันทึก เสนอเรื่องนี้ จากสำนัก
โรคติดต่อนำโดยแมลง ลงวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อธิบดีกรมควบคุมโรค ลงนามบันทึกถึง ปลัดกระทรวง
สาธารณสุขวันเดียวกัน อะไรจะด่วนเพียงนี้ หรือมีใครสั่งการ
อยู่เบื้องหลัง สเปคของกรมควบคุมโรค เปิดให้ซื้อได้ทั้งแบบ
ใช้น้ำมันเบนซิน และแบบใช้แบตเตอรี่

ซึ่งชนิดแบตเตอรี่ มีข้อดีที่เงียบกว่า แต่มีข้อจำกัดที่ทำงาน
ได้เพียง3ชั่วโมง ไม่เหมาะกับการใช้งานในประเทศไทย ซึ่งควร
ใช้งานได้นานกว่า และเครื่องแบบแบตเตอรี่ ทำงานด้วยระบบ
อิเลกทรอนิกส์ เมื่อชำรุดหรือขัดข้อง จะเสียค่าใช้จ่าย
ในการซ่อมบำรุง สูงกว่า

แต่สำนักงานป้องกันควบคุมโรคเขต 4 ราชบุรี
ได้จัดซื้อแบบใช้แบตเตอรีในเดือนตุลาคม 2552 กำหนด
สเปคขึ้นมาใหม่อย่างผิดปกติ จำเพาะให้ใช้ได้เฉพาะแบตเตอรี
เท่านั้น โดยอ้างเหตุผลความจำเป็นเพื่อป้องกันควบคุมโรคในเขต
พระราชฐาน จัดซื้อได้ในราคาเต็มเพดานเครื่องละ 885,000 บาท
โดยบริษัท เคมฟลีท จำกัด เป็นผู้จำหน่าย

ในขณะที่ในปี 2552 นี้ สำนักงานป้องกัน ควบคุมโรค
เขตอื่น ต่างซื้อเครื่องเบนซิน ตามสเปคกรมควบคุมโรค ได้ใน
ราคาที่ถูกกว่า คือ เขต 11 นครศรีธรรมราช ซื้อได้ในราคา 780,000 บาท เขต 12 สงขลา ซื้อได้ในราคา 730,000 บาท และเขต 7 อุบลราชธานี ซื้อได้ในราคา 720,000 บาท

เปรียบราคาการจัดซื้อเครื่องพ่นยุงแบบติดรถยนต์
ของเขตตรวจราชการ
ประเภทเครื่องพ่นยุง เขตตรวจราชการ ราคาที่จัดซื้อได้
แบบแบตเตอรี่ 4 ราชบุรี 885,000 บาท
แบบเบนซิน 11 นครศรีธรรมราช 780,000 บาท
แบบเบนซิน 12 สงขลา 730,000 บาท
แบบเบนซิน 7 อุบลราชธานี 720,000 บาท

ที่น่าสนใจคือ นายสุทธิชัย ธรรมประมวล ที่ปรึกษา
คนขยันที่ไม่ได้รับเงินเดือนของ นายมานิตย์ นพอมรบดี
รัฐมนตรีช่วยว่า การกระทรวงสาธารณสุข สส.ราชบุรี

พรรคภูมิใจไทย ได้ให้ข้อมูลกับกรรมการเมื่อ
15 ธันวาคม 2552 ยอมรับว่า รู้จัก และไปมาหาสู่กันเป็น
ประจำกับกรรมการคนสำคัญของบริษัท เคมฟลีท จำกัด

เพราะเป็นเพื่อน ร่วมรุ่นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ของ นายมานิต และนายสุทธิชัย ซึ่งการตั้ง ราคาเครื่องที่สูง
เกินจริงเครื่องละประมาณ 1 แสนบาท

กับการไปมาหาสู่เป็นประจำนี้ คงต้องให้ทาง ปปช.
ได้สอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดความกระจ่างต่อไป
ก็คงต้องช่วยกันให้ข้อมูล เพื่อให้เครื่องพ่นยุง พ่นพิษ ให้คน
โกงแผ่นดินต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย

อีกหลายครุภัณฑ์ ล้วนส่อเจตนาทุจริต
เครื่องควบคุมการทำงานของหัวใจ (Central Monitor)
ที่ใช้ในแผนกไอซียู พบว่าครุภัณฑ์นี้ มีรายการหลายลักษณะ

มีการจัดสรร ครุภัณฑ์รายการนี้ ให้หลายโรงพยาบาล
แตกต่างกันไป มีการกำหนด ราคาบางรายการสูงเกินไป มีการ
ตั้งงบประมาณที่แตกต่างกันมาก ระหว่าง 4 - 10 ล้านบาท

เช่น ที่โรงพยาบาลสิรินธร ขอนแก่น ได้รับจัดสรร
เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และสัญญาณชีพแบบศูนย์รวม
(สำหรับ 6 เตียง) ราคา 4 ล้านบาท

แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งได้จัดซื้อเอง ในปีงบประมาณ
2551 ได้ในราคา 3. 967 ล้านบาท (สำหรับ 12 เตียง)

คือราคาประมาณกันที่ 4 ล้านบาท แต่สามารถ
ซื้อได้สำหรับ 12 เตียง นอกจากราคา แต่ละระบบจะสูงเกิน
จริงอย่างมากแล้ว ยังมีการระบุข้อความว่า “เชื่อมต่อระบบเดิมได้”

นั้น เห็นว่า เป็นการเอื้อต่อผู้ขาย ครุภัณฑ์ยี่ห้อเดิม
ที่โรงพยาบาลมีใช้อยู่แล้ว ซึ่งครองตลาดปัจจุบันอยู่ถึง 90%
และทำให้ราคาสูงขึ้น ครุภัณฑ์หมวดนี้มีมูลค่า 404.25 ล้านบาท

หากทบทวน ให้เหมาะสมจะประหยัดงบประมาณ
ได้ไม่ต่ำกว่า 65 ล้านบาท เครื่องเอ็กซเรย์เต้านม (Mammogram)
มี 2 แบบ คือ แบบใช้ฟิล์ม (Film Mammogram) และแบบดิจิตัล (Digital Mammogram) เ

ครื่องมือดังกล่าวนี้ โรงพยาบาล ที่ได้รับจะต้องมี
ทั้งรังสีแพทย์และศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จึงจะสามารถใช้
ประโยชน์ได้คุ้มค่า

ในด้านราคา เครื่องแบบดิจิตัลแพงกว่าแบบฟิล์มมาก
โดยมีปากคำแจ้งว่า นพ.สุชาติ เลาบริพัตร เป็นผู้สั่งการให้
เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง โทรศัพท์สอบถามโรงพยาบาลต่างๆ ว่าต้องการครุภัณฑ์ การแพทย์รายการนี้หรือไม่

ประดุจเป็นการทำ ตลาดเพิ่มความต้องการ แบบไม่จำเป็น
ในที่สุดเครื่องแบบฟิล์ม ซึ่งจัดสรรให้แก่โรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไป
และโรงพยาบาล สมเด็จพระยุพราชปัว จ.น่าน ซึ่งเป็นโรงพยาบาล
ชุมชน รวม 21 เครื่อง เครื่องละ 5 ล้านบาท เป็นเงินรวม 105 ล้านบาท ส่วนเครื่องแบบดิจิตัลรวม 17 เครื่อง จัดสรรให้แก่โรงพยาบาล 5 ต่างๆ ในราคาแตกต่างกันมาก โดยมี รพ. 5 แห่งที่จัดสรรงบตั้งแต่ 16 ล้านถึง 28 ล้านบาท เป็นเงินรวม 277 ล้าน

ทั้งที่น่าจะตั้งราคาเดียวกัน งบประมาณรายการนี้
หากมีการทบทวนโดยมีการประเมินเทคโนโลยีอย่างรอบ
คอบอาจประหยัดเงินได้ถึง 30 ล้านบาท

เครื่องสลายนิ่ว
เป็นเครื่องมือ ที่มีลักษณะคล้ายคลึง กับเครื่องตรวจสาร
ชีวเคมีในเลือด และเครื่องตรวจนับเม็ดเลือดอัตโนมัติ และ
คล้ายเครื่องถ่ายเอกสาร ซึ่งไม่สมควรจัดซื้อ แต่ควรใช้ ระบบเช่า
และคิดค่าใช้จ่ายเป็นรายครั้งของการให้บริการแทน

จากการตรวจสอบการจัดสรรครุภัณฑ์รายการนี้
มีการตั้งงบให้แก่โรงพยาบาล 3 แห่ง ในราคาแตกต่างกันมาก
คือ รพ. มหาราชนครศรีธรรมราช และรพ.นราธิวาสราชนครินทร์
เครื่องละ 15 ล้านบาท รพ. มหาสารคาม กลับตั้งราคาเพียง 3.5 ล้านบาท รวม 33.5ล้านบาท ซึ่งงบประมาณรายการนี้ สามารถตัดได้ทั้ง
หมด ไปใช้ระบบเช่าเครื่องแทน

รถยนต์ปิคอัพ
มีการจัดสรร รถแบบ ดับเบิลแค็บขนาด 1 ตัน
ขับเคลื่อน 2 ล้อ สำหรับสำนักงาน สาธารณสุขอำเภอ
และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ทั่วประเทศรวม 320 คัน

ตั้งราคาไว้คันละ 780,000 บาท แต่จากการสอบ
ถามราคา จากบริษัทใหญ่ ซึ่งครองตลาดมากที่สุด พบว่าราคา
รุ่น top ไม่เกินคันละ 680,000 บาทเท่านั้น

จึงเป็นการตั้งราคาสูงเกินสมควรคันละ 1 แสนบาท
และหากเทียบราคากลาง ของสำนักงบประมาณ ที่ตั้งไว้เมื่อปี
2552 ราคา 618,000 บาท จะแพงเกินสมควรคันละ 172,000 บาท

รวมงบที่สูงเกินสมควร 55.04 ล้านบาท นอกจากนี้
ยังมีการจัดสรรงบซื้อรถปิคอัพแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อีก 42คัน
คันละ 900,900 บาท ซึ่งสูงเกินสมควรคันละ 1แสนบาทเช่นกัน
รวมเป็นเงิน ที่สูงเกินสมควร 4.2 ล้านบาท

รวมรายการ ครุภัณฑ์ ยานพานะ ตั้งงบสูงเกินจริง
รวม 59.04 ล้านบาท งานนี้เข้ากระเป๋าใคร?

ยูนิต ทันตกรรมของสถาบัน พระบรมราชชนก มีการจัดสรร
จำนวน 400 ยูนิต แก่วิทยาลัยการสาธารณสุข 7 แห่ง สำหรับเป็น
อุปกรณ์ การเรียนการสอน ในการผลิตทันตาภิบาล หลักสูตร 2 ปี

ราคายูนิตละ 600,000 บาท เป็นงบประมาณ
240 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบ กับที่จัดสรรให้ สถาบัน
ทันตกรรม กรมการแพทย์ เพื่อรองรับการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศ
ด้านทันตกรรม ให้ได้มาตรฐาน HA จำนวน 15 ยูนิต ราคายูนิตละ
415,000 บาท เป็นเงินรวม 6,150,000 บาท

ดังนั้นราคาของสถาบันพระบรมราชชนก
จึงแพงกว่า 185,000 บาทต่อยูนิต รวมแล้วแพงกว่า 74ล้านบาท

งานนี้ทำไมรายการต่างๆ ล้วนมีการตั้งงบประมาณ
ที่สูงขึ้นอย่างน่าเกลียด ทำให้อธิบายภาพได้ว่า ส่อเค้าเตรียม
ทุจริตตั้งแต่ ระดับต้นน้ำ เลยทีเดียว

ใครควร รับผิดชอบต่อการเตรียมการทุจริต
ซื้อของแพง ด้วยเงินกู้ไ "ทยเข้มแข็ง" ในครั้งนั้น

ทุจริตเครื่องมือแพทย์ ทำสุขภาพคนไทยไม่เข้มแข็ง
ตามรายละเอียดข้างต้น คณะกรรมการสอบสวน มีความเห็นว่า

การลงทุนในเครื่องมือแพทย์ ราคาแพงเกินจำเป็น
เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่ส่งเสริม ให้เกิดความเข้มแข็งแก่
ระบบบริการสาธารณสุขของประเทศ

การจัดสรรครุภัณฑ์การแพทย์บางรายการ
คือ เครื่องตรวจสารชีวเคมีในเลือด, เครื่องตรวจนับเม็ด
เลือดอัตโนมัติ และเครื่องสลายนิ่ว เป็นการจัดสรรโดยไม่สุจริต

การจัดสรรเครื่องควบคุม การทำงานของหัวใจกลาง
เป็นการจัดสรรโดยทุจริต เพราะมีการกระทำที่เข้าข่ายเป็น
การล็อคสเปค และการตั้งราคาสูงเกินสมควร เป็นการเปิดช่อง
ทางให้มีการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ

ข้อเสนอของคณะกรรมการ คือ
1. ควรทบทวน การจัดทำคำ ของบประมาณครุภัณฑ์
การแพทย์ในประเด็นต่างๆ กล่าวคือ ให้มีเหตุผลความจำเป็น
ของเครื่องมือ ที่สอดคล้องกับความสามารถ ในการใช้ประโยชน์
ของโรงพยาบาลในระดับต่างๆ

ไม่ควรจัดสรรเครื่องมือ ที่มีเทคโนโลยีสูงเกินความจำเป็น
เพราะจะใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่ และราคาแพงเกินเหตุ โดยการ
กระจายให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น
ในปัจจุบัน และเพื่อรองรับ การขยายงาน ในอนาคต

ที่ไม่ยาวไกลเกินไป มีการพิจารณาราคาอย่างเหมาะสม
ตัดข้อความที่เข้าข่ายล็อคสเปคออกทั้งหมด

2. ตัดงบประมาณ ในส่วนของเทคโนโลยี ราคาแพงเกิน
ความจำเป็น และนำงบประมาณส่วนที่ปรับลดลงได้ ไปเพิ่ม
ให้แก่การลงทุนในระดับทุติยภูมิและปฐมภูมิแทน

3. ดำเนินการทางวินัย แพ่ง และอาญาแก่ผู้เกี่ยวข้อง
ทั้งฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ ทั้งที่ยังรับราชการอยู่
และที่ออกจากราชการไปแล้ว

สำหรับฝ่ายการเมือง ควรพิจารณาดำเนินกา
รตามกฎเหล็ก 9 ข้อ ของนายกรัฐมนตรีด้วย

4. กระทรวงสาธารณสุขควรจัดตั้งหน่วยงาน ประเมิน
เทคโนโลยีทางการแพทย์ (Office of Medical Technology Assessment) ที่สามารถ ทำงานบนพื้นฐาน ของหลักการ

และหลักวิชาการที่ถูกต้อง เชื่อถือ และไว้วางใจได้
เพื่อให้สามารถกลั่นกรอง ให้ได้เทคโนโลยีการแพทย์ แต่ละ
ชนิดที่ปลอดภัย ได้ผล และคุ้มค่าอย่างแท้จริง ไม่เกิดความ
ฟุ่มเฟือยหรือตกเป็นทาสเทคโนโลยี