วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

สไนเปอร์ (Sniper) หนึ่งนัด หนึ่งชีวิต!ของ เสธ.แดง รายละเอียด"ปืนซุ่มยิงระยะไกล" (Sniper) สไนเปอร์และสารคดียูทูบประกอบ




         การยิงหวังผลในระยะไกลต้องการอาวุธที่มีความแม่นยำและอำนาจการ ทำลายสูงและนี่คือปืนสไนเปอร์ที่มีประจำการอยู่ในกองทัพทั่วโลก.. ปืน ไรเฟิลซุ่มยิงระยะไกลคือหนึ่งในอาวุธที่มีบทบาทในการปัฎิบัติการรบทาง ยุทธวิธีและต่อเป้าหมายทีี่มีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจของ ฝ่ายตรงกันข้าม มันคืออาวุธที่ถูกออกแบบเพื่อการยิงในระยะไกลด้วยกระสุนความเร็วสูงจากการ ยิงของสไนเปอร์หรือพลซุ่มยิง Sniper
      พล ซุ่มยิง (Sniper) คือผู้ที่มีความสามารถสูงในเรื่องของการยิงปืนในระยะไกล ซึ่งได้รับการฝึกฝนการยิงเป้าหมายในสถาณการต่างๆที่ต้องใช้ความสามารถใน เรื่องของการยิงปืน เรื่องของความอยู่รอด (survivability) ในพื้นที่ต่างๆเป็นระยะเวลานาน เช่น ในป่า หรือ ในพื้นที่สิ่งก่อสร้าง หน้าที่ของพลซุ่มยิงคือ การวางวิถีกระสุนอย่างแม่นยำไปยังฝ่ายข้าศึก ซึ่งทหารในหน่วยต่างๆ ไม่สามารถทำการยิงได้ ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะระยะทาง ขนาดของกำลังข้าศึก ที่ตั้งฝ่ายข้าศึก หรือว่าการมองเห็น 
       ผู้ที่จะ เป็นพลซุ่มยิงได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีลักษณะที่พิเศษอย่างดังตัวอย่างใน ระเบียบราชการสนาม 23-10 การฝึกพลซุ่มยิง (FM-23-10 Sniper Training)ของกองทัพบกสหรัฐฯ ได้มีแนวทางในการคัดเลือกกำลังพลเข้าทำการฝึกเป็นพลซุ่มยิงจะมีข้อพิจารณา อยู่ด้วยกัน 6 ประการ คือ
 1. แม่นปืน ผู้ที่จะเข้ารับการฝึกเป็นพลซุ่มยิงจะต้องมีความสามารถในการยิงปืนดีเลิศถ้า ผ่านการแข่งขันทางด้านการยิงปืน หรือการล่าสัตว์มาก่อนจะเป็นข้อได้เปรียบในการคัดเลือกเข้ารับการฝึก
 2. ร่างกายต้องพร้อม ผู้ที่จะเข้ารับการฝึกเป็นพลซุ่มยิง จะต้องเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง และถ้าเคยผ่านการเป็นนักกีฬาในประเภทต่างๆ ก็จะได้เปรียบในการคัดเลือกเข้ารับการฝึก
 3. สายตาและความสามารถในการมอง ผู้ที่จะเข้ารับการฝึกจะต้องเป็นผู้ที่ไม่ใส่แว่นสายตาเพราะ จะเป็นการเสี่ยงต่อความล้มเหลวของภารกิจเมื่อแว่นสายตาชำรุด หรือสูญหายในพื้นที่ปฏิบัติการ นอกจากนี้จะต้องไม่ตาบอดสี เพราะจะมีปัญหาในการแยกเป้าหมายจากสิ่งแวดล้อม
 4. ไม่สูบบุหรี่ ผู้ที่เข้ารับการฝึกจะต้องไปเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะเป็นการเปิดเผยที่ตั้งของตนเอง นอกจากนี้การปฏิบัติงานจริงจะต้องอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถสูบบุหรี่ได้เป็น ระยะเวลานานการที่ไม่สูบบุหรี่เป็นระยะเวลานานของผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ จะส่งผลให้ ประสิทธิภาพในการยิงลดลง
 5. มีความมั่นคงทางอารมณ์สูงกว่าคนปกติ ผู้ที่เข้ารับการฝึก จ ต้องเป็นผู้ที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีในภาวะต่างๆเพราะการปฏิบัติ งานจริงอาจจะต้องตกอยู่ในภาวะที่มีความกดดันสูง การลั่นไก ณ เวลา และสถานที่ที่เหมาะสม เป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อการปฏิบัติงานของพลซุ่มยิง
 6. ความคิดและระดับสติปัญญา ผู้ที่เข้ารับการฝึกนั้นจะต้องเรียนรู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับขีปนวิธี ของกระสุนในลักษณะต่างๆ การปรับแต่งอุปกรณ์ช่วยเล็ง การใช้วิทยุสื่อสาร การตรวจการณ์ และการปรับการยิง เครื่องยิงลูกระเบิดและปืนใหญ่ การเดินแผนที่และเข็มทิศ การรวบรวมและรายงานข่าวสาร และการพิสูจน์ฝ่ายและอาวุธยุทโธปกรณ์
        อาวุธ ของพลซุ่มยิงหรือหน่วยสไนเปอร์การยิงเป้าหมายจากระยะไกลต้องใช้ ปืนที่มีความแม่นยำสูง มีกระสุนที่มีรัศมีทำการไกลกว่าปกติเนื่องจากเป็นกระสุนความเร็วสูงที่ ถูกออกแบบให้ใช้กับปืนยาวแบบลูกเลื่อนสไลด์ ซึ่งอาจมีขนาดของกระสุนที่แตกต่างกันไปตามการใช้งาน ในแต่ละสถานการณ์ และนี่คือบรรดาอาวุธยิงระยะไกลที่มีใช้งาน อยู่ในกองทัพและหน่วยรบพิเศษทั่วโลก

Sig SSG 3000
ปืนไรเฟิลที่มีรากฐานการผลิตมาจากกองทัพของ สวิสโดยร่วมมือกันพัฒนาโครงตัวปืนกับบริษัท
 Jp Sauer And Sohn ประเทศเยอรมนีใช้กระสุนขนาด .308 วินเชสเตอร์
 (หรือขนาด 7.62 มิลลิเมตร นาโต) ขึ้นลำโดยใช้ระบบลูกเลื่อนหรือ Bolt-Action
 มีความยาวรวม 1,180 มิลลิเมตร ตั้งแต่ปลายลำกล้องจรดพานท้ายใช้ระบบเกลียวลำกล้อง
 4 เกลียว เพื่อความแม่นยำสูง ความเร็วในขณะที่กระสุนพ้นปากลำกล้อง 2,400 ฟุตต่อวินาที
 ซองกระสุนขนาดบรรจุ 5 นัด มีน้ำหนักรวมเมื่อติดกล้องเล็งระยะไกลประมาณ 6.2 กิโลกรัม
 กับกำลังขยายของกล้องเล็งที่ 1.5-6X มีระยะยิงหวังผลไกลกว่า 800-1,000 เมตร เป็นอย่างต่ำ

Dragunov
ดรากูนอฟ เป็นไรเฟิลอัตโนมัติในรุ่นที่ดัดเเปลงกลไกภายในและรูปแบบของตัวปืนจากปืน
 ไรเฟิลตระกูล AK ของรัสเซีย เเละทำให้มันกลายเป็นสไนเปอร์ไรเฟิล ด้วยการดัดเเปลงลำกล้องให้ยาวขึ้นเปลี่ยนพานท้ายปืนเเละเพิ่ม feeder ปัจจุบันดรากูนอฟ (SVD) ถูกใช้อย่างเเพร่หลายในกองกำลังทางทหาร ของกลุ่มประเทศแถบยุโรปตะวันออกเเละ รัสเซีย ปืนกระบอกนี้สามารถเล็งเป้าหมาย
 ที่เคลื่อนที่ด้วยรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิ ภาพเเละมีความเเม่นยำสูงมากด้วยกล้องเทเลโฟโต้เลนส์รุ่น PSO-1M2 สามารถปรับความเร็วการยิงได้โดยใช้การทำงานของระบบเเก๊ส ทำให้เกิดความปลอดภัยในการยิงเเละการควบคุมปืน
 FR-F2
FR-F2 ถูกดัดเเปลงมาจาก ปืนไรเฟิล FR-F1 ที่ใช้มาตั้งเเต่ช่วงยุค 1970 ลำกล้องของปืนใส่อุปกรณ์ป้องกันความร้อนเข้าไป เเม้ว่าจะวางไว้กลางเเดดเป็นเวลานานก็ไม่มีผลใดๆ ต่อลำกล้องของปืน มันเป็นสไนเปอร์ไรเฟิลระบบโวลท์ เเอคชั่น ถูกใช้อยู่ในหน่วย GIGN มีลูกกระสุนขนาด 7.62 มม.เเละติดกล้องซูมได้ถึง 8 เท่า
 PSG
PSG (Prazisions Sharfschutzen Gewehr-1) ปืนสไนเปอร์ไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติของบริษัทH&K ชื่อของมันหมายถึงปืนที่เเม่นยำ ผลิตโดยใช้โครงสร้างของปืนแบบ G3 โมเดลเเต่เมื่อพัฒนาเสร็จสมบูรณ์เเล้ว กลับมีความเเตกต่างกับ G3-SG1 โดยสิ้นเชิงมันเป็นปืนที่มีน้ำหนักเกินกว่า 8 กิโลกรัมเเละมีความเเม่นยำสูงมากที่สุดเเละยังได้รับการประเมินว่าเป็นปืนที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในภารกิจการต่อต้านการก่อการร้ายของสไนเปอร์ไรเฟิลที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน
(ลูกระสุนมี 50 นัด เมื่อยิงในระยะ 100 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางของเป้าหมายจะเท่ากับ 
6.99 มม., เมื่อยิงในระยะ 300 เมตรจะเท่ากับ 80 มม.) เเต่ไม่มีเหตุผลที่จะใช้งานสำหรับภารกิจทางทหารทั่วๆ ไป เนื่องจากตัวปืน และอุปกรณ์มีราคาสูงมาก
 ระบบภายในตัวปืนมีความแข็งแกร่งไม่มากเท่าปืนไรเฟิลจากรัสเซียการใช้งานต้องระวังไม่ให้ตัวปืนโดนฝุ่นดินหรือโคลน การมีน้ำหนักมากเกินไปของมันกลับทำให้เกิดความเเม่นยำมากกว่าปกติเนื่องจากความเสถียรในการออกแบบลำกล้องและพานท้าย
 Barrett M82A1
king of50caliber sniper rifles
ปืนซุ่มยิงระยะไกลที่มีอำนาจการยิงรวม ถึงอำนาจในการทำลายล้างสูงได้รับการพัฒนาโดยบริษัท Barrett Firearms สหรัฐอเมริกาเป็นปืนซุ่มยิงที่ประจำอยู่
 ในหลายหน่วยงานทางทหารทั่วโลกและ เข้าร่วมปฏิบัติการในสงครามหลายครั้งแล้วมันเป็นปืนซุ่มยิงที่มีระบบกลไกกึ่งอัตโนมัติ มีรังเพลิงขนาดใหญ่ที่ใช้กับลูกกระสุนความเร็วสูงขนาด 50 มิลลิเมตร ที่มีอำนาจการทำลายสูงมากที่สุดในกลุ่มปืนซุ่มยิง ด้วยประสิทธิภาพการยิงที่แม่นยำที่ระยะ 1,500 เมตร รวมทั้งสถิติการยิงที่ระยะ 2,500 เมตร กระสุนที่มีพลังงานสูงมีประสิทธิภาพมากเกินพอที่จะยิงเพื่อหยุดยั้งการ เคลื่อนของเป้าหมายที่มีการหุ้มเกราะ สามารถปฎิบัติการต่อเป้าหมาย
ที่สำคัญ เช่น หอควบคุมเรดาห์ รถบรรทุก รถสายพานลำเลียงพล หรืออากาศยานที่บิน
ในระดับต่ำ กล่าวกันว่าแม้กระสุนของมันจะกระทบเป้าอย่างจังไปแล้วก็ตามก็ไม่อาจได้ยิน เสียงปืนเนื่องจากการยิงมาจากระยะที่ไกลกว่าปืนไรเฟิลซุ่มยิงทุกชนิดที่มีใช้งานอยู่ในปัจจุบัน.

Swat Sniper Training
 เจาะคลังอาวุธในกองทัพ หน่วยไหนมี “ปืนสไนเปอร์” ?
 ปืน สไนเปอร์ถูกกล่าวถึงอีกครั้ง หลัง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล  ผู้ทรงคุณวุฒิ กองทัพ ในฐานะผู้ดูแลความปลอดภัยให้กลุ่มแนวร่วมขับไล่เผด็จการแห่งชาติ  (นปช.) ถูกลอบยิงในช่วงค่ำคืนวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมาหลัง จากอาวุธชนิดนี้ถูกพูดถึงหลายครั้ง ในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่อนุสรณ์สถานย่านดอนเมืองซึ่งพลทหารถูกยิงเสียชีวิต เมื่อไม่นานมานี้ไม่มีหน่วยงานหรือกลุ่มบุคคลใด ออกมายอมรับว่ามีการใช้สไนเปอร์จริงหรือไม่? กระนั้น จากการตรวจสอบพบว่า ในส่วนของกองทัพ  ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการร้ายสากล สังกัด กองบัญชาการกองทัพไทยเป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีอาวุธชนิดนี้อยู่ด้วย โดยจัดซื้อครบชุดจาก บริษัท ยี.เอ็ช.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด  วงเงิน 7.6 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2552    พร้อมมีเครื่องมือเครื่องใช้  รวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท  อาทิ
 เครื่องมือเก็บกู้วัตถุระเบิด อุปกรณ์จัดเก็บและตรวจหาวัตถุระเบิดเครื่องมือสำหรับปฏิบัติการต่อต้านอาวุธเคมี- วชีวะ
 ชุดจุดระเบิดโนแนล   กล้องตรวจการณ์สำหรับโจมตี   กล้องตรวจการณ์ระยะไกลกลางวัน-กลางคืน  ระเบิดขว้างแสง-เสียง

 นอก จากนี้ยังมี ปืนพก ,ปืนยาว ,ปืนลูกซอง  ,เสื้อเกราะ, โล่ป้องกันกระสุน , กระสุนปืนซ้อมรบ,กระสุนปืนปฏิบัติการพิเศษ, อุปกรณ์โรยตัว,  ,ระเบิดขว้างแสง-เสียง, อุปกรณ์สอดแนมสำหรับต่อต้านก่อการร้ายสากล  , เครื่องตัดสัญญาณวิทยุและโทรศัพท์  ฯลฯ
     บริษัท ยี.เอ็ช.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด  ก่อตั้งวันที่  9 ตุลาคม 2517 ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท  ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 30 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย  กรุงเทพฯ   นายซารับยิตซิงห์ สัจจเทพ  และ นายซัตวินเดอร์ซิงห์ สัจจเทพ ถือหุ้นใหญ่ นอกจากขายให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการร้ายสากล ยังค้าอาวุธให้หน่วยงานราชการอีกหลายแห่งกระนั้นก็ มิได้หมายความว่า สไนเปอร์ ในกองทัพ ถูกนำมาใช้กับความเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา  
 เพราะไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ยืนยัน ได้เช่นนั้น !

สไนเปอร์ (Sniper) หนึ่งนัด หนึ่งชีวิต!

            ถึงวันนี้ แน่ชัดแล้วว่า ลมหายใจของ เสธ.แดง หรือ พลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล ปลิดปลิวออกจากร่าง หลังถูกลอบยิงเมื่อค่ำคืนวันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมานอกจากความเศร้าสะเทือนใจของคนรักใคร่สนิทสนม ความตระหนกอกสั่นขวัญแขวนของแกนนำและผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อ ต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บางส่วน รวมถึงมูลเหตุแห่งการลอบยิง เสธ.แดง ที่ถูกวิเคราะห์วิพากษ์ในวงกว้างทั้งยึดพื้นที่ข่าวได้ใหญ่โตแล้ว ยังมีอีกชื่อเสียงเรียงนามของบุคคลนิรนามประเภทหนึ่ง ผุดโผล่ขึ้นมาอย่างเจิดจ้าท้าทาย และชวนให้ค้นหาคำตอบถึงที่มาที่ไปของเขา
  ไม่มีใครรู้ว่ากระสุนนัดที่ปลิดชีพ เสธ.แดง หรือ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล มาจากทิศทางใด ที่แน่ๆ คือมันมาจากระยะไกลและเข้าเป้าอย่างแม่นยำ  ทันทีที่ข่าวการลอบสังหาร เสธ.แดง แพร่ออกไป สำหรับคอหนังแอ็กชั่นที่คุ้นเคยกับความแม่นยำระดับมัจจุราชนี้ คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นฝีมือของ สไนเปอร์ (Sniper)
         ในประวัติการลอบสังหารหรือสั่งเก็บในเมืองไทย การเรียกใช้สไนเปอร์มีน้อยครั้งมากไม่เกินนิ้วมือข้างขวา เพราะมือปืนระดับนี้ ใช่ว่าจะหาได้ทั่วไปตามซุ้ม แต่ต้องเป็นระดับมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก มียุทโธปกรณ์ทันสมัย และต้องมีทีมชี้เป้าที่ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีคนสงสัยว่าน่าจะมีคนของกองทัพเอี่ยวด้วย
    สไนเปอร์คือใคร?
            ข้อมูลทั่วไปที่รับรู้กันก็คือ พวกเขาคือพลซุ่มยิงจากระยะไกลที่มีความแม่นยำสูง ในระดับที่เรียกกันว่า ‘หนึ่งนัด หนึ่งชีวิต’ และสำหรับพลเรือนทั่วๆ ไป การรู้เพียงเท่านี้ก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว…เป็นบุคคลประเภทที่เกิดมาเพื่อ 'ทำลายเป้าหมาย' อย่างแม่นยำ  ชื่อของเขาคือ 'สไนเปอร์' (Sniper) หรือ 'พลซุ่มยิง'
           สไนเปอร์...พลซุ่มยิงระดับโลก

            สไนเปอร์ เป็นหน่วยหนึ่งในกองกำลังทหารและตำรวจ มีความสามารถสูงในเรื่องของการยิงปืนในระยะไกล ทำหน้าที่ยิงเพื่อหวังผลจำกัดการเคลื่อนไหวหรือการปฏิบัติการของข้าศึก จากระยะไกล รวมถึงมีการอำพรางตัว มีความสามารถเฉพาะในการยิงจากที่กำบัง เพื่อไม่ให้ข้าศึกรู้ตัวระหว่างรอยิง ใช้ปืนที่มีลักษณะเฉพาะในการยิงไกล พลซุ่มยิงมักทำงานร่วมกับพลชี้เป้า (Spotter)
           อาวุธของพลซุ่มยิงก็คือปืนไรเฟิลยาวที่มีความแม่นยำสูงและมีระยะการยิงหวัง ผลที่ไกลกว่าปืนประเภทอื่น ปืนไรเฟิลสำหรับสไนเปอร์จะมีอุปกรณ์ช่วยเล็งหรือที่เรียกกันว่า สโคป ซื่งมีลักษณะเสมือนกล้องส่องทางไกลไว้ช่วยเล็ง
          ลักษณะทั่วๆ ไปของปืนไรเฟิลสไนเปอร์คือ มีสโคป ลำกล้องยาว พานท้ายออกแบบให้ง่ายต่อการยิงในท่าหมอบคลาน มีขาทรายสำหรับพาดประคองปืนให้แม่น
       เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2543 ในอัฟกานิสถาน มีการบันทึกระยะซุ่มยิงที่ไกลที่สุดคือ 2,430 เมตร ผู้ยิงคือ สิบโทร็อบ เฟอร์ลอง โดยใช้กระสุนฮอร์นาดี A-MAX เวรี่ โลว์ แดร็ก หนัก 70 เกรนขนาด .50 คาลิเบอร์และปืน TAC-50 แมคมิลแลนด์ แต่ไม่ว่าใครจะยิงได้ไกลเพียงใด ก็คงไม่โด่งดังเท่ากับ สไนเปอร์เบอร์ 1 ของโลก อย่าง ไซโม ฮายาซ ซึ่งเป็นทหารฟินแลนด์ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นพลซุ่มยิงที่ยิ่งใหญ่ที่ สุดในโลก สำหรับประวัติโดยคร่าวๆ นั้น มีอยู่ว่า เดิมที ฮายาซเป็นเพียงชาวนาคนหนึ่ง ก่อนเข้าไปรับใช้ชาติเมื่อปี 2468 และในช่วงที่รัสเซียโจมตีฟินแลนด์ตั้งแต่ปี 2482-2483 เขาก็ก้าวขึ้นไปเป็นพลซุ่มยิงเพื่อสังหารทหารกองทัพรัสเซีย อาวุธคู่กายของพลซุ่มยิงผู้ยิ่งยง คือ ปืนยาวโมซินนากังค์ เอ็ม 28 ซึ่งทหารโซเวียตที่พ่ายให้กับกระบอกปืนของฮายาซ (ที่ได้รับการยืนยัน) มีอยู่ 542 ศพ
       1 เมษายน ปี 2545 ฮายาซเสียชีวิตที่หมู่บ้านโรคอลาซติ ใกล้พรมแดนรัสเซีย ด้วยวัย 97 ปี เขาใช้ชีวิตในบั้นปลายก่อนสิ้นลมด้วยการเป็นนักล่ากวางมูสและเพาะพันธุ์ สุนัข
        สไนเปอร์ เป็นคนแบบไหน?
        “ร่างกายต้องแข็งแรง สมบูรณ์ สายตาดี หูดี มีสติ อารมณ์นิ่ง ซึ่งแต่ละหน่วยเขาก็จะคัดเพื่อเข้าเรียนตามหลักสูตรอีกที ที่สำคัญต้องเป็นคนอารมณ์ดี มีสติ”

            เป็นคำบอกกล่าวจากพลตรีท่านหนึ่งที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว ซึ่งให้ข้อมูลว่า สไนเปอร์หรือพลซุ่มยิง จะทำการฝึกในรูปแบบเฉพาะ มีหลักสูตร มีเหรียญตรามอบให้ ส่วนอุปกรณ์สำคัญในการฝึกก็มีการใช้กล้องเลนส์ ใช้ปืนยาวในการทำงาน ส่วนเหตุผลที่ต้องมีการฝึกฝนเป็นพิเศษนั้น ก็เนื่องจาก

            “สไนเปอร์เขามีไว้ยิงเฉพาะผู้นำ ผู้หมวด ผู้กอง หรือผู้พัน ซึ่งเป็นผู้นำทุกระดับ พวกนี้มีหน้าที่ตามล่าพวกผู้นำ ไม่ใช่ผู้ตาม”

            เป็นคุณสมบัติและการคัดกรองที่สอดคล้องกับความเห็นของ สรศักดิ์ สุบงกช คอลัมน์นิสต์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งแสดงทัศนะไว้ว่า คนที่จะเป็นพลซุ่มยิงได้นั้น...

            “ต้องเป็นโดยธรรมชาติ คือต้องมีอุปนิสัยที่ดำรงตนอยู่คนเดียวได้ ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากได้ ไปนอนหมกทราย หมกโคลน ซุ่มอยู่ได้เป็นวันๆ และต้องใจเย็นมากๆ แล้วก็ต้องผ่านการฝึกที่ละเอียดและโหดมาก ถ้าฝึกได้และผ่านขั้นนี้ไปได้ ก็เป็นสไนเปอร์ได้”

            และเพราะมีเหรียญตราอันทรงเกียรติมอบให้ ทั้งมีการฝึกตามหลักสูตรที่มีรูปแบบเฉพาะ 'พลทหารเกณฑ์' ทั่วไป จึงคล้ายว่ายังห่างไกลจากสถานภาพ 'พลซุ่มยิง' นี้ ดังเช่นประสบการณ์ตรงของ พรศักดิ์ เมืองมา หนุ่มวัย 22 ปี ซึ่งเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยมาได้ไม่นาน เล่าว่า ก่อนจับใบแดงเข้าไปเป็นทหารเกณฑ์ที่ค่ายทหารในจังหวัดเชียงใหม่นั้น ตัวเขารับรู้เกี่ยวกับพลซุ่มยิงผ่านทางสื่อหลากแขนง ทั้งภาพยนตร์ หนังสือ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และวิดีโอเกม

            แต่ครั้นได้เข้าไปเป็นพลทหารประจำการอยู่ในค่ายทหารเมื่อปี 2549-2550 อาวุธที่พรศักดิ์ได้รับการฝึก ก็มีเพียงปืนเอ็ม 16 และปืนเล็กเท่านั้น พรศักดิ์บอกว่า เขาไม่ได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับพลซุ่มยิงและไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ารับการ ฝึกใช้ปืนไรเฟิลซึ่งเป็นอาวุธหลักของพลซุ่มยิงเลยแม้แต่ครั้งเดียว



       'สไนเปอร์' นามนี้...แสนสะพรึง

            กลับสู่ความเป็นจริงของสถานการณ์ปัจจุบันที่ความรุนแรงปะทุขึ้นเกินยับยั้ง และไม่ว่าจะเพื่อจุดประสงค์ใดก็ตาม พลซุ่มยิงนายหนึ่ง ก็ได้พาตนเองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งนี้แล้ว

            ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าที่สถานีข่าวทุกช่องต่างฉายภาพ เสธ. คนดัง ถูกลอบยิง ทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า แท้แล้ว สไนเปอร์ ก่อกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

            “มันยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า การใช้สไนเปอร์เริ่มขึ้นเมื่อไหร่ แต่ก็มีการสันนิษฐานว่า ตั้งแต่มนุษย์มีการใช้ธนู หรือปืนคาบศิลาก็เริ่มมีการใช้พลซุ่มยิงแล้ว โดยมุ่งไปที่ความได้เปรียบในการทำลายเป้าหมาย และไม่มีใครรู้ได้ว่าเป้าโดนซุ่มยิงมาจากทิศทางไหน ในบ้านเราก็มีสมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นพลซุ่มยิงอันดับแรกๆ เลย เมื่อครั้งที่พระองค์ยิงแม่ทัพพม่า โดยยิงข้ามแม่น้ำสะโตง”


            สรศักดิ์เกริ่นถึงความเป็นมานับแต่เก่าก่อนของพลซุ่มยิง หรือ สไนเปอร์ ทั้งเพิ่มเติมว่าในโลกที่อาวุธถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นจากธนู ปืนคาบศิลา สไนเปอร์ก็ไม่ได้หายไปไหน ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดฝีมือ

            “ในสมัยสงครามปฏิวัติอเมริกาที่จอร์จ วอชิงตัน รบกับอังกฤษ ตอนนั้นก็มีการใช้พลซุ่มยิงกันแล้ว แล้วถ้าพูดถึงสงครามสมัยใหม่ เขาก็เริ่มใช้สไนเปอร์กันเป็นเรื่องเป็นราว โดยเฉพาะในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มนุษย์เริ่มผลิตปืนไรเฟิลขึ้นมา แล้วก็คิดหาวิธีที่จะทำให้สามารถยิงปืนไรเฟิลได้แม่นยำ ดังนั้น ก็ต้องมีการนำกล้องไปติดที่ปืน ทำให้มันมีคุณสมบัติพิเศษ คือนอกจากจะโดนเป้าอย่างแม่นยำแล้ว ยังลดผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น เพราะมันโดนแต่เป้าที่อยากให้โดนเท่านั้น อย่างอื่นไม่ถูกทำลาย”

            เมื่อเอ่ยถึงปืนไรเฟิล สรศักดิ์ก็ไม่ลืมที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธชนิดนี้ว่า

            “ถ้าถามว่าปืนไรเฟิลคืออะไร ในชื่อภาษาไทย ไรเฟิลก็คือปืนเล็กยาว เป็นอาวุธประจำกายของทหารราบ ลักษณะของปืนเล็กยาวกับปืนซุ่มยิงต่างกันยังไง ก็ต้องดูว่าปืนที่จะนำมาใช้ในการซุ่มยิงต้องใช้ในลักษณะใด คำตอบก็คือ ถ้ายิงไกล ลำกล้องต้องยาว กระสุนต้องมีหัวใหญ่ เพื่อให้มีดินขับไปได้ไกลตามระยะ ถ้ายิงระยะไกลก็มักใช้ .338 หรือถ้าต้องการทำลายมากกว่าคนก็ใช้ .50 คาลิเบอร์
            "เป้าหมายก็มีตั้งแต่ทำลายหัวหน้าหน่วยทหาร ทำลายยานเกราะเบา แล้วก็เสาอากาศวิทยุ จานเรดาร์ อย่างทหารอเมริกาก็ใช้สไนเปอร์ยิง .50 คาลิเบอร์ ใส่จานเรดาร์ของอิรักก่อนจะบุก เมื่อบุกได้แล้วก็ยิงทหารอิรัก”

            นอกจากนั้น สรศักดิ์ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ที่พลซุ่มยิงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

            “ถ้าพูดถึงเหตุการณ์สำคัญก็คือในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 รัสเซียใช้พลซุ่มยิงประชาสัมพันธ์ผลงานของกองทัพ พลซุ่มยิงคนนั้นก็คือ วาสิลี ซาอิเซฟ "

            สรศักดิ์เล่าว่า รัสเซียใช้ผลงานของ วาสิลี ซาอิเซฟ เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับทหารของตน ในการสู้รบครั้งประวิติศาสตร์กับเยอรมันเมื่อปี 2485-2486 ส่วนเยอรมันเมื่อถูกพลซุ่มของรัสเซียยิงทำลายเป้าหมาย ก็ส่งพลซุ่มยิงระดับครูมาบ้าง เรื่องนี้มีการเล่าสืบต่อกันมาว่า เมื่อสองคนนี้มาดวลกัน วาสิลี ซาอิเซฟ ก็สามารถฆ่าพลซุ่มยิงของเยอรมันได้ และมีการนำปืนอาวุธประจำกายของพลซุ่มยิงคนนั้นไปตั้งแสดงอยู่ที่กรุงมอสโก ด้วย

            แต่นอกจากเหตุการณ์เหล่านี้แล้ว ในสงครามต่างๆ ก็ยังมีการใช้พลซุ่มยิงอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่เป็นการใช้ในทางลับ สำหรับเหตุการณ์ที่รับรู้ข้อมูลอย่างชัดแจ้งในสงครามต่างๆ นั้น ก็มักเป็นไปเพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ สร้างขวัญและกำลังใจ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อว่ามีความเหนือกว่าในด้านยุทธวิธี ทั้งเป็นการหวังผลทางจิตวิทยา คือมุ่งทำลายขวัญกำลังใจของฝ่ายตรงข้าม

            แล้วการยิง เสธ. แดง ถือเป็นการยิงเพื่อหวังผลทางจิตวิทยา คือทำลายขวัญและกำลังใจหรือไม่? สรศักดิ์สะท้อนมุมมองอย่างตรงไปตรงมาว่า

            “ผมไม่คิดว่าการยิง เสธ.แดง เป็นเรื่องของการหวังผลทางจิตวิทยาอะไร แต่ผมคิดว่า เสธ.แดง อาจจะกำความลับอะไรไว้เยอะ แล้วก็มีคนจองกฐินแก อยากจะให้แกเงียบซะ แล้วถ้าถามผมว่ากองทัพอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า? มันไม่มีอะไรดีกับกองทัพเลยครับ เพราะตอนนี้รัฐบาลต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง จะปราบม็อบก็ต้องใช้มาตรการตั้งแต่เบาไปหาหนัก ถ้าจะฆ่า เสธ.แดง ก็หมายความว่าข้ามขั้นตอน 1-2-3-4-5 ไป เพราะฉะนั้น ผมไม่เชื่อว่ากองทัพจะทำ”


            นอกจากสรศักดิ์แล้ว ภิญโญ แก้วภิญโญ ก็นับเป็นพลเรือนอีกผู้หนึ่ง ที่มีความเชี่ยวชาญและรอบรู้ด้านอาวุทธยุทโธปกรณ์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุปกรณ์ปืนลูกซองและปืนไรเฟิล เขาเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมบอกเล่าถึงประสิทธิภาพของอาวุธในมือพลซุ่มยิง รวมถึงลักษณะการทำงานในแต่ละสถานการณ์

            “ลักษณะการทำงานของพลซุ่มยิงขึ้นกับสถานการณ์ หากไปทำงานในสงครามตามชายแดน พลซุ่มยิงจะกระจายกันไปทำงานเดี่ยวๆ เพื่อต่อสู้กับพลซุ่มยิงของอีกฝ่าย แต่หากกรณีสงครามกลางเมืองหรือการสลายการชุมนุม พลซุ่มยิงจะทำงานเป็นทีม มีคนบอกเป้าซึ่งมีกล้องส่องที่ให้มุมกว้างกว่ากล้องที่ติดกับปืน จะทำหน้าที่ชี้เป้าผู้ต้องสงสัยที่อาจก่อความไม่สงบ ทั้งนี้ทั้งนั้น พลซุ่มยิงจะไม่มีอำนาจตัดสินใจปลิดชีพใครโดยพลการ”

            ภิญโญแสดงความเห็นว่า พลซุ่มยิงไม่จำเป็นต้องซุ่มอยู่ตามที่สูงเท่านั้น อาจอยู่บนพื้นราบก็ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ โดยปืนกับกล้องส่องที่พลซุ่มยิงใช้จะถูกปรับแต่งไปตามสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งกล้องติดปืนจะมีประโยชน์สำหรับการชี้เป้าที่แม่นยำ ไม่ให้พลาดไปถูกผู้บริสุทธิ์หรือผิดจากเป้าหมาย

           “กล้องส่องต้องมีคุณภาพสูง ปืนมีความแม่นยำสูงมากๆ เข้าเป้าทุกนัด เล็งตรงไหนต้องเข้าเป้าตรงนั้น แม่นยำเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์”

            จะแม่นยำมากหรือน้อยเพียงใด ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของสไนเปอร์เท่าที่มีการจารึกไว้ ก็น่าจะยืนยันได้ดีถึงการทำลายล้างอันทรงอานุภาพซึ่งยากจะต่อกรได้โดยง่าย

พลซุ่มยิงในโลกภาพยนตร์

            ฉากต่อสู้มันส์ระห่ำที่เกิดขึ้นบนผืนผ้าใบในโรงหนังอาจทำให้นักดูหนังเพลิด เพลิน จนลืมสังเกตว่าเหตุการณ์การต่อสู้ที่เกิดขึ้นมักมีพลซุ่มยิงหรือสไนเปอร์ ป้วนเปี้ยนอยู่ด้วย ลองไปหาหนังเหล่านี้มาทวนความจำกันหน่อย

            ในหนัง ‘Behind Enemy Lines’ และ ‘The Taking of Pelham 123’ พลซุ่มยิงใช้ปืนไรเฟิล Sig SSG 3000 โดยมีมัจจุราชที่เป็นกระสุนขนาด 7.62 มิลลิเมตร นาโต

            สำหรับ SVD Dragunov-ไรเฟิล ดรากูนอฟ ปืนไรเฟิลอัตโนมัติที่ดัดเเปลงกลไกภายในและรูปแบบของตัวปืนจากไรเฟิลตระกูล AK ของรัสเซีย ใช้อย่างเเพร่หลายในกองกำลังทางทหารของกลุ่มประเทศแถบยุโรปตะวันออกเเละรัส เซีย มีปรากฏในหนังหลายเรื่อง เช่น Hitman, Battle Royale II: Requiem, Black Hawk Down, The Shooter และ Rambo 3 เป็นต้น

            ส่วน Barrett M82A1 ซึ่งเป็นปืนซุ่มยิงระยะไกลที่มีอำนาจการยิงรวมถึงอำนาจในการทำลายล้างสูง มีระบบกลไกกึ่งอัตโนมัติ มีประสิทธิภาพการยิงที่แม่นยำที่ระยะ 1,500 เมตร อย่าตกใจหากได้เห็นอานุภาพอันทรงพลังของมันในหนัง Resident Evil: Apocalypse, RoboCop รวมถึง Enemy at the gate ซึ่งนำแสดงโดย จู๊ด ลอว์ พระเอกหน้าหยก ผู้รับบท วาสิลี ซาอิเซฟ สไนเปอร์เบอร์หนึ่งของพญาหมีขาวรัสเซียก็นับเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับพลซุ่มยิง อีกเรื่องหนึ่งที่ยังถูกกล่าวขานถึงตราบทุกวันนี้

เรื่องราวประเภทเดียวกัน

รายละเอียด M-79 ระยะหวังผลทำลายล้าง

เปิดใจมือปืนและวีดีโอโชว์การถอดและประกอบปืน แบบต่างๆ ลิงค์นี้


รายละเอียดปืน เอช เค เอ็มพี 5 ปืนที่ใช้ประหารชีวิตของกรมราชทัณฑ์

รถเกราะ,กระสุนเจาะเกราะ,เสื้อเกราะกันกระสุน



เชื้อสายพระราชวงศ์กรุงธนบุรี

พระราชวงศานุวงศ์กรุงธนบุรีมหาราช
1. พระราชบิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ตามที่กล่าวไว้ในหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษว่าเป็นขุนพัฒน์ นามเดิมไหยฮอง ตั้งภูมิลำเนาอยู่ในพระนครศรีอยุธยา แต่ยังไม่พบหลักฐานที่อื่นสนับสนุน
2. สมเด็จพระราชชนนี พระนามเดิมว่า เอี้ยง ดำรงพระราชอิสริยยศเป็นกรมหลวงพิทักษ์เทพามาตย์ สวรรคตวันอังคารเดือน 8 ขึ้น 6 ค่ำ พ.ศ. 2317 ดูจดหมายเหตุฉบับลงวันอังคาร เดือน6 แรม 2 ค่ำ ปีมะแม จ.ศ. 1137 (พ.ศ. 2318) และหมายรับสั่ง ลงวันศุกร์เดือนอ้าย ขึ้น 12 ค่ำ จ.ศ. 1138 ( พ.ศ. 2319 )
3. สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระนามเดิมว่าสิน มีพระบรมนามาภิไธยเมื่อปราบดาภิเษกแล้ว ตามที่ปรากฏในศุภอักษรเสนาบดีกรุงธนบุรี ซึ่งกำกับพระราชสารไปยังกรุงศรีสัตนาคนหุต ออกพระนามว่าพระศรีสรรเพ็ชญ์ สมเด็จบรมธรรมิกราชาธิราชรามาธิบดีที่สำหรับออกพระนามในศุภอักษรชองพระเจ้า ประเทศราชว่าสมเด็จพระเอกาทศรศรฐ ส่วนที่ออกพระนาม ในพระราชพงศาวดาร ฉบับทรงชำระในรัชกาลที่ 1 ว่า สมเด็จพระบรมหน่อพุทธางกูรเจ้าสมภพเมื่อ ปีขาล พ.ศ. 2277 มีเชื้อชาติสืบจากจีน รับราชการจนได้เป็นที่พระเจ้าตากก่อนพระชนมายุ 31 ปี แล้วเลื่อนเป็นพระยากำแพงเพ็ชรเจ้าเมืองชั้นโท เพราะ ความชอบในการสงครามที่ต่อสู้พม่าเมื่อก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา ถึงต้นปีกุน พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ทรงพยายามกู้คืน จากเงื้อมมือพม่าเสร็จในปลายปีนั้น รุ่งขึ้นนปีชวดพ.ศ. 2311 ณ วันอังคารเดือนอ้าย แรม 4ค่ำ ได้ปราบดาภิเษกถึงวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ถูกสำเร็จโทษเปลี่ยนพระราชวงศ์ใหม่ ต่อมา พ.ศ. 2327 ถวายพระเพลิงพระบรมศพที่วันอินทาราม บางยี่เรือ ธนบุรี
4.
 สมเด็จพระน้านาง พระนามเดิมว่า อั๋น ดำรงพระราชอิสริยยศเป็น กรมหลวงเทวินทรสุดา อยู่มาถึงรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์ ถูกลดพระยศลงเป็นเพียง หม่อมอั๋น
5.สมเด็จพระราชินี (หอกลาง) พระนามเดิมว่า สอน ดำรงพระราชอิสริยยศเป็น กรมหลวงบาทบริจา อยู่มาถึงรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์ ถูกลดพระยศลงเป็นเพียง หม่อมสอน
 6.พระราชโอรสธิดา 29 องค์ คือ(1) สมเด็จพระมหาอุปราชเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระนามเดิมว่า จุ้ย ที่ 1 ในสมเด็จพระราชินี ดำรงพระราชตำแหน่งรัชทายาท ( มีปรากฏในประชุมพงศาวดารภาคที่ 39 หน้า 138 ) ถูกสำเร็จโทษ วันเสาร์ เดือน 6 แรม 8 ค่ำ พ.ศ. 2325 ต้นสกุล สินสุข และสกุล อินทรโยธิน
(2) สมเด็จฯ เจ้าฟ้าชายน้อยที่ 2 ในสมเด็จพระราชินี ถูกสำเร็จโทษ พ.ศ. 2325
(3) พระองค์เจ้าชายอัมพวัน ในเจ้าจอมมารดาทิม ( ม.ร.ว. ราชตระกูลกรุงเก่า ธิดาท้าวทรงกันดาล ทองมอญ ) พระญาติแห่งสกุลศรีเพ็ญ
(4) สมเด็จฯ เจ้าฟ้าชายทัศพงษ์ที่ 1 ในกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ (เจ้าหญิง ฉิม หรือเรียกในราชสำนักนครศรีธรรมราชว่า ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงใหญ่ ราชธิดาของพระเจ้านครศรีธรรมราช ) ในรัชกาลที่ 2 เป็นพระพงษ์อำมรินทร์ ( หรือเรียกอีกนามหนึ่งว่า พระพงษ์นรินทร์ ) ต้นสกุลพงษ์สิน
(5) สมเด็จฯเจ้าฟ้าหญิงโกมล
(6) สมเด็จฯ เจ้าฟ้าหญิงบุบผา
(7) สมเด็จฯ เจ้าฟ้าชายสิงหรา
(8) สมเด็จฯ เจ้าฟ้าชายศิลา
 ในรัชกาลที่ 3 เป็นพระยาประชาชีพ ต้นสกุล ศิลานนท์
(9) พระองค์เจ้าชายอรนิกา บรรพบุรุษแห่งสกุลรัตนภาณุที่ 1 ในเจ้าจอมมารดาอำพัน (ธิดาเจ้าอุปราชจันทร์ นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นต้นสกุลจันโรจวงศ์ ) ถูกสำเร็จโทษเมื่อจะเริ่มรัชกาลที่ 2 วันพุธ เดือน 10 ขึ้น 5 ค่ำ พ.ศ. 2352 พร้อมกับสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิต
(10) พระองค์เจ้าหญิงสุมาลี
(11) พระองค์เจ้าชายธำรง
(12) พระองค์เจ้าชายละมั่ง
 ในรัชกาลที่ 3 เป็นพระยาสมบัติบาล
(13) สมเด็จฯเจ้าฟ้าชายเล็ก (แผ่นดินไหว)
(14) สมเด็จฯ เจ้าฟ้าชายทัศไภย เป็นโอรสองค์ที่ 2 ในกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ (เจ้าหญิงฉิม) ถึงรัชกาลที่ 2 เป็นพระอินทอำไพ (หรือเรียกอีกนามหนึ่งว่าพระอินทรอภัย) ถูกสำเร็จโทษใน พ.ศ. 2358 เป็นพระบิดาเจ้าจอมมารดาน้อย ต้นสกุล นพวงศ์ และสุประดิษฐ์ ณ อยุธยา
(15) พระองค์เจ้าหญิงจามจุรี
(16) พระองค์เจ้าหญิงสังวาล
(17) พระองค์เจ้าหญิงสำลีวรรณ
 ต้นสกุล อิศรเสนา ณ อยุธยา เป็นที่ 2 ในเจ้าจอมมารดาอำพัน (ธิดาเจ้าอุปราชจันทร์ แห่งนครศรีธรรมราช) ถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์เจ้าหญิงสำลีวรรณเป็นพระราชชายากรมพระราชวังบวร รัชกาลที่ 2 แล้วถูกสำเร็จโทษ วันพุธ เดือน 10ขึ้น 5 ค่ำ พ.ศ. 2352 พร้อมกับสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิต
(18) สมเด็จฯ เจ้าฟ้านเรนทรราชกุมารที่ 3 ในกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ (เจ้าหญิงฉิม) ถึงรัชกาลที่ 2 เป็นพระนเรนทรราชา ดำรงพระชนม์มาถึงรัชกาลที่ 3 เป็นต้นสกุลรุ่งไพโรจน์
(19) พระองค์เจ้าชายคันธวงศ์
(20) พระองค์เจ้าชายเมฆิน
(21) พระองค์เจ้าชายอิสินธร
(22) พระองค์เจ้าหญิงประไพพักตร์
 ในเจ้าจอมมารดาเงิน
(23) สมเด็จฯ เจ้าฟ้าชายสุพันธุวงศ์ ในเจ้าจอมมารดาฉิมใหญ่ ( พระราชธิดาในสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ) ถึงรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์ เปลี่ยนพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์ แล้วได้ทรงกรมเป็นกรมขุนกษัตรานุชิต ทรงสถาปนาวัดอภัยธารามสามเสน เมื่อจะเริ่มรัชกาลที่ 2 วันพุธ เดือน 10 ขึ้น 5 ค่ำ พ.ศ. 2352 ถูกสำเร็จโทษพร้อมกับเจ้าชายที่เป็นโอรสเล็กๆ อีก 6 องค์
(24) พระองค์เจ้าชายบัว
(25) สมเด็จฯเจ้าฟ้าปัญจปาปีที่ 4 ในกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ (เจ้าหญิงฉิม) ถึงรัชกาลที่ 1เป็นพระชายาเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ ราชภาคิไนยของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
(26) เจ้าชายน้อย ( ในฐานะเป็นราชบุตรบุญธรรมแห่งพระมหาอุปราชแห่งนครศรีธรรมราช) ในเจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงปราง ( ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงเล็กของนครศรีธรรมราช) กนิษฐภคินีของกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ (เจ้าหญิงฉิม) ถึงรัชกาลที่ 2 เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช มีสกุลที่สืบมา คือ ณ นคร 
โกมารกุล จาตุรงคกุล

(27) พระองค์เจ้าชาย
(28) พระองค์เจ้าชายหนูแดง
(29) พระองค์เจ้าหญิงสุดชาตรี



7. พระเจ้าหลานเธอ 4 องค์ คือ(1) พระเจ้านราสุริวงศ์ เจ้าผู้ครองนครศรีธรรมราช ทิวงคต พ.ศ. 2319 (มีปรากฏในพระราชพงศาวดารและหมายรับสั่ง)
(2 ) กรมขุนอนุรักษ์สงคราม พระนามเดิมว่า บุญมี เป็นเจ้ารามลักษณ์ก่อน ต่อมามีความชอบในการสงครามจึงได้ทรงกรม ถูกสำเร็จโทษ พ.ศ. 2325
(3) กรมขุนรามภูเบศร์ พระนามเดิมว่า บุญจันทร์ เป็นเจ้าบุญจันทร์ ก่อน ต่อมามีความชอบในการสงครามจึงได้ทรงกรม ถูกสำเร็จโทษ พ.ศ. 2325
(4) กรมขุนสุรินทรสงคราม (มีปรากฏในบัญชีมหาดไทย ดูประชุมพงศาวดารภาคที่ 65 หน้า114 )

8. พระราชวงศานุวงศ์ที่ไม่ทราบระดับราชสัมพันธ์ 4 องค์ คือ
(1) ในกรมขุนอินทรพิทักษ์
 สิ้นพระชนม์ก่อน พ.ศ. 2320 (มีปรากฏในหมายรับสั่ง)
(2) หม่อมเจ้าแสง สิ้นชีพตักษัยก่อน พ.ศ. 2321 (มีปรากฏในหมายรับสั่ง)
(3) หม่อมเจ้าปทุมไพจิตร (มีปรากฏในจดหมายเหตุทรงตั้งพระเจ้านครศรีธรรมราช)
(4) หม่อมเจ้านราภิเบศ (มีปรากฏในพระราชพงศาวดาร ฉบับ ชำระเรียบเรียงในรัชกาลที่ 1 คือประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 65

9. จำนวนสมาชิกเชื้อสายพระราชวงศ์กรุงธนบุรี ตั้งแต่ ชั้น 1 ถึงชั้น 8 ตามรายพระนาม และนามเท่าที่ปรากฏ(เพียงพ.ศ. 2522) มีรวม 1200 เศษ
10. สกุลสายตรง คือ
(1) สินสุข
               วงศ์สมเด็จพระมหาอุปราช
(2) อินทรโยธิน      วงศ์สมเด็จพระมหาอุปราช
(3) พงษ์สิน            วงศ์สมเด็จเจ้าฟ้าชายทัศพงศ์
(4) ศิลานนท์          วงศ์สมเด็จเจ้าฟ้าชายศิลา
(5) รุ่งไพโรจน์       วงศ์สมเด็จเจ้าฟ้าชายนเรนทรราชกุมาร
(6) ณ นคร              วงศ์ เจ้าพระยานคร (เจ้าชายน้อย)
(7)โกมารกุล ณ นคร วงศ์ เจ้าพระยานคร (เจ้าชายน้อย)
(8) จาตุรงคกุล        วงศ์ เจ้าพระยานคร (เจ้าชายน้อย)

11. ผู้ที่อยู่ในสกุลสายตรง ที่มีศักดิ์สูงมีจำนวนดังนี้ คือ(1) สมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน     1
(2) สมเด็จพระมหาอุปราช     1
(3) สมเด็จเจ้าฟ้า                     11
(4) พระองค์เจ้า                       16
(5) หม่อมเจ้า                          17
(6) เจ้าพระยา                          8
(7) พระยา                               23
(8) คุณเท้า                               2
(9) เจ้าจอม                              37
(10) หม่อมห้าม                      16
(11) คุณหญิง                          14

12. สกุลที่สืบตรงทางสายหญิง คือ(1) อิศรเสนา ณ อยุธยา
(2) ธรรมสโรช
(3) นพวงศ์ ณ อยุธยา
(4) สุประดิฐ ณ อยุธยา
(5) ศรีธวัช ณ อยุธยา
(6) วัฒนวงศ์ ณ อยุธยา
(7) รัตนโกศ
(8) ภาณุมาศ ณ อยุธยา
(9) กาญจนวิชัย ณ อยุธยา

13. สกุลเกี่ยวพันทางสายหญิง คือ(1) อิศรากูร ณ อยุธยา
(2) ปาลกวงศ์ ณ อยุธยา
(3) เสนีวงศ์ ณ อยุธยา
(4) กุญชร ณ อยุธยา
(5) ชุมสาย ณ อยุธยา
(6) ลดาวัลย์ ณ อยุธยา
(7) สุริยกุล ณ อยุธยา
(8) แสงชูโต
(9) รัตนภาณุ
(10) วิภาตะศิลปิน
(11) ศรีเพ็ญ
(12) ศรียาภัย
(13) เทพหัสดิน ฯ อยุธยา
(14) บุนนาค
(15) บุรานนท์
(16) สุวงศ์
(17) ลักษณสุต
(18) สุขกสิกร
(19) บุรณศิริ
(20) แดงสว่าง
(21) กมลาศน์ ณ อยุธยา
(22) แสงต่าย
(23) มิตรกุล
(24) จุลดิลก
(25) สายะศิลป์
(26) พนมวัน ณ อยุธยา

14. ผู้อยู่ในสกุลอันสืบทางสายหญฺง ที่มีศักดิ์สูง คือ(1) พระองค์เจ้า       15
(2) หม่อมเจ้า          23
(3) พระยา               3
(4) เจ้าจอม              3
(5) หม่อมห้าม        2

บัญชี ลำดับวงศ์ขุนหลวงตากนี้ ว่าเดิมพระยาราชสัมภารากร (เลื่อน ) ผู้เป็นเป็นสมาชิกในสกุลคนหนึ่ง ได้เรียบเรียบขึ้นไว้ แล้วลอกคัดกันต่อๆไป ในเชื้อสายของสกุล ได้สำเนามายังหอพระสมุดสำหรับพระนคร เมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. 2460 ในบัญชีเชื้อวงศ์ขุนหลวงตาก ซึ่งหอพระสมุดฯได้มาว่า พระยาประชาชีพศิลา ในรัชกาลที่ 3 กับพระยาสมบัติบาล (ละมั่ง ) ในรัชกาลที่3เป็นลูกเธอขุนหลวงตากอีก 2 คน จอมมารดาเดียวกัน ในบัญชีนั้นว่าธิดาพระยาประชาชีพศิลา (ชื่อทับ) เป็นหม่อมห้ามกรมพระ รามอิศเรศ มีหม่อมเจ้าหลายองค์ คือหม่อมเจ้าหญิงเป้า และมีธิดาอีกคนหนึ่ง (ชื่อพลับ) เป็นหม่อมห้ามของกรมหมื่นกระษัตริย์ศรีศักดิ์เดช มีหม่อมเจ้าหลายองค์ยังอยู่แต่ชั้นหลาน คือ พระยาวงศ์พงศ์พิพัฒน์ เป็นต้น ชี้แจงว่าพระยาประชาชีพศิลา หาได้เป็นลูกเธอของขุนหลวงตากไม่ เป็นแต่เป็นข้าในกรมเจ้าฟ้าเหม็น ครั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานข้าไทยของเจ้าฟ้า เหม็นและ พระยาประชาชีพศิลา กับพี่น้องจึงได้มาเป็นข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงรัชกาลที่3 จึงได้เป็นขุนนาง 

สาย สัมพันธ์ ราชสกุลพระเจ้าตาก กับราชวงศ์จักรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทั้ง ๓ พระองค์ทรงเป็นวีรบุรุษไทย ทรงเป็นนักรบที่เคียงบ่าเคียงไหล่กอบกู้ อิสรภาพจากพม่ามาด้วยกัน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จพระราชสมภพปีขาล พ.ศ. ๒๒๗๗ ทรงแก่พระชันษากว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ ๒ ปีและ ๙ ปีตามลำดับ เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชปราบดาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขณะดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหา กษัตริย์ศึก ได้ถวายพระราชธิดา คือสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงฉิมใหญ่ ให้เป็นพระราชชายาในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งทรงประสูติพระราชโอรสคือสมเด็จเจ้าฟ้าชายสุพันธุวงศ์ และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนกระษัตรานุชิต (เจ้าฟ้าเหม็น) เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) สมุหนายก ขณะเป็นที่พระยาอนุชิตราชา จางวางพระตำรวจ ได้รับหนังสือ (บัตรสนเท่ห์) ทิ้งที่ใต้ต้นแวงในลานชาลาพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท กล่าวกันว่ากาคาบมาทิ้งไว้ เนื้อความในหนังสือกล่าวโทษฟ้องว่าพระโอรสและพระธิดาของสมเด็จพระเจ้า ตากสินมหาราช คือ เจ้าฟ้ากรมขุนกระษัตรานุชิต พระองค์เจ้าหนูดำ และจอมมารดาสำลีวรรณ คบคิดกับข้าราชการหลายคนจะก่อการกบฏแย่งชิงเอาราชสมบัติ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ คือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสอบสวนได้ความเป็นสัตย์ รวมทั้งมีการพาดพิงซัดทอดข้าราชการหลายคน เช่น เจ้าพระยาพลเทพ (บุนนาค บ้านแม่ลา) พระยาเพชรปราณี (กล่อม) พระยาพระราม (ทอง) พระอินทเดช (กระต่าย) เป็นต้น รวม ๑๐ คน กับข้าในกรมเจ้าฟ้ากรมขุนกระษัตรานุชิตอีก ๓๐ คน รวม ๔๐ คน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงโปรดให้ถอดยศเจ้าฟ้ากรมขุนกระษัตรานุ ชิต เป็นหม่อมเหม็นแล้วสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคา ส่วนพระองค์เจ้าหนูดำ พระองค์เจ้าหญิงสำลีวรรณและข้าราชการที่สมรู้ร่วมคิดนั้นทรงโปรดให้ลงโทษ ด้วยการตัดศีรษะเสียทั้งสิ้น ส่วนโอรสของเจ้าฟ้ากรมขุนกระษัตรานุชิตหรือหม่อมเหม็นจำนวน ๖ องค์นั้นทรงโปรดให้ใส่เรือไปถ่วงน้ำเสียทั้งหมดที่ปากน้ำเจ้าพระยา จอมมารดาสำลีวรรณ พระองค์เจ้าหญิงสำลีวรรณ หรือจอมมารดาสำลีวรรณ ท่านเป็นพระชายาในสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ พระอนุชาธิราชแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ส่วนสมเด็จเจ้าฟ้าฉิมใหญ่นั้นสิ้นพระชนม์ในช่วงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้า ตากสินมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จครองสิริราชสมบัติอยู่ ๑๕ ปี ทรงมีพระโอรสและพระธิดาทั้งสิ้น ๒๙ พระองค์ ช่วงปลายรัชสมัยของพระองค์บ้านเมืองเป็นจลาจล สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้เข้าทำการสงบระงับเหตุจลาจล และสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระปฐมกษัตริย์แห่งพระราชวงศ์จักรี ครั้งนี้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ที่พระมหาอุปราช และสมเด็จเจ้าฟ้าชายน้อย พระราชโอรสพระองค์แรกและพระองค์ที่สองแห่งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยอมพลี พระชนมชีพให้สำเร็จโทษตามพระราชบิดา ด้วยไม่ยอมเป็นข้าของแผ่นดินใหม่ สมเด็จพระอัครมเหสี กรมหลวงบาทบริจา (สอน) ถูดลดพระยศเป็น "หม่อมสอน" รวมทั้งพระโอรสและพระธิดาชั้นพระองค์เจ้าถูกลดพระยศ แต่ก็ยังเป็นที่เคารพรักของราษฎรและผูกพันกับเจ้านายในพระราชวงศ์จักรีและ ผูกสายสัมพันธ์ทางการสมรสกับเจ้านายผู้ทรงเป็นต้นราชสกุลหลายพระองค์ และมีสายสืบราชสกุลมาจนทุกวันนี้ พระองค์เจ้าหญิงสำลีวรรณเป็นพระธิดาพระองค์ที่ ๘ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาอำพัน ธิดาคนเดียวของอุปราชจันทร์เมืองนครศรีธรรมราช เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ทรงโปรดให้เจ้า เมืองนครศรีธรรมราช (หนู) และอุปราชจันทร์เข้ามารับราชการในกรุงธนบุรี จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ท่านได้รับราชการในกรมคชบาลเป็นที่พระยาราชวังเมือง แล้วได้เป็นเจ้าเมืองถลาง และได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาสุรินทราชา และภายหลังเจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) สมุหพระกลาโหม ถึงแก่อสัญกรรม ทรงมีพระราชประสงค์จะให้เจ้าพระยาสุรินทราชาเข้ามาเป็นสมุหพระกลาโหมแทน แต่เจ้าพระยาสุรินทราชาขอรับราชการเป็นเจ้าเมืองถลางต่อไปด้วยอายุมากแล้ว ท่านเป็นต้นสกุล "จันทโรจนวงศ์" พระองค์เจ้าสำลีวรรณทรงเสกสมรสกับสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ พระมหาอุปราชในรัชกาลที่ ๒ แต่ครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ พระองค์เจ้าสำลีวรรณประสูติพระราชโอรสและพระราชธิดา ๖ พระองค์ ประกอบด้วย ๑. พระองค์ชายใหญ่ สิ้นพระชนม์แต่ทรงพระเยาว์ ๒. พระองค์เจ้าหญิงประชุมวงศ์ ๓. พระองค์เจ้าหญิงนัดดา ๔. พระองค์เจ้าหญิงขนิษฐา ๕. พระองค์เจ้าชายพงศ์อิศเรศ ๖. พระองค์เจ้าหญิงนฤนล กรมหมื่นกษัตริย์ศรีศักดิเดช พระองค์เจ้าชายพงศ์อิศเรศ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๘ ในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ ประสูติเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีวอก พ.ศ. ๒๓๔๓ ทรงเป็นพระราชโอรสที่สมเด็จพระราชบิดาโปรดปรานยิ่งนักด้วยทรงเป็น "หลานปู่" ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และทรงเป็น "หลานตา" ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเป็นเจ้านายฝ่ายหน้าพระองค์เดียวที่เป็นพระราชนัดดาของสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวทั้งสองพระองค์ข้างต้น ถึงปีจอ พ.ศ. ๒๔๐๕ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาให้สถาปนาพระองค์เจ้าพงศ์อิศ เรศเป็นพระเจ้าราชวงศ์เธอ กรมหมื่นกษัตริย์ศรีศักดิเดช ซึ่งทรงเป็นต้นราชสกุลอิศรเสนา ณ อยุธยา ชายาของพระเจ้าราชวงศ์เธอ กรมหมื่นกษัตริย์ศรีศักดิ์เดช คือ คุณหญิงพลับ ธิดาสมเด็จเจ้าฟ้าชายศิลา พระราชโอรสพระองค์ที่ ๘ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คุณหญิงพลับประสูติพระโอรส ๓ พระองค์ คือ หม่อมเจ้ากระจ่างอิศรเสนา หม่อมเจ้าจันตรี อิศรเสนา และหม่อมเจ้าเสาวรส อิศรเสนา หม่อมเจ้าเสาวรสเป็นบิดาของเจ้าพระยาวรพงษ์พิพัฒน์ (หม่อมราชวงศ์เย็น อิศรเสนา) เสนาบดีกระทรวงวังในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้าราชวงศ์เธอกรมหมื่นกษัตริย์ศรีศักดิเดชสิ้นพระชนม์เมื่อเดือน ๘ ปีจอ พ.ศ. ๒๔๑๗ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ขณะพระชันษาได้ ๗๕ ปี สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงปัญจวาปี พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชอีกพระองต์หนึ่งที่ทรงมีสายสัมพันธ์ทาง การสมรสกับเจ้านายฝ่ายหน้าในพระราชวงศ์จักรีคือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงปัญจปาปี พระธิดาพระองค์ที่ ๑๑ ได้ทรงเสกสมรสกับสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ พระโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ ซึ่งเป็นพระน้องนางในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และเจ้าขรัวเงิน สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ทรงรับราชการกำกับกรมมหาดไทยในรัชสมัยพระ บาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นต้นราชสกุลอิศรางกูร ณ อยุธยา สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงปัญจปาปีประสูติพระโอรสพระธิดา ๕ พระองค์ประกอบด้วย หม่อมเจ้าใหญ่ หม่อมเจ้ากลาง หม่อมเจ้าหญิงศรีฟ้า หม่อมเจ้าสุนทรา และหม่อมเจ้าหญิงรสสุคนธ์ พระพงษ์นรินทร์-พระอินทร์อภัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงมีความเคารพรักในสมเด็จพระเจ้า ตากสินมหาราช เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองสงบเรียบร้อยแล้วทรงโปรดให้ขุดพระศพของสมเด็จพระ เจ้าตากสินมหาราชขึ้นมาถวายพระเพลิงที่วัดบางยี่เรือ พระองค์พร้อมสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงฉลองพระองค์พระภูษาขาว อันเป็นการถวายความเคารพและถวายพระเกียรติแด่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อย่างยิ่ง ในส่วนของพระโอรสและพระธิดาแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็ทรงให้ความเมตตาชุบเลี้ยงและให้รับราชการในตำแหน่งต่างๆ ทรงโปรดให้สมเด็จเจ้าฟ้าทัศพงศ์ และสมเด็จเจ้าฟ้าชายทัศไภยเป็นที่ "พระพงษ์นรินทร์" และ "พระอินทร์อภัย" ที่หม่อมราชนิกุลรับราชการในราชสำนักเนื่องด้วยพระโอรสทั้งสองมีความรู้ทาง การแพทย์ และมีตำแหน่งเข้าเฝ้าต่อจากเสนาบดี และด้วยหน้าที่ทางการแพทย์ที่มีความสนิทคุ้นเคยและเข้านอกออกในได้ ทำให้พระอินทร์อภัยมีสัมพันธ์สวาทกับเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย ความทราบถึงพระกรรณทรงโปรดให้ไตร่สวนได้ความเป็นสัตย์ จึงโปรดให้ประหารชีวิตเสียทั้งพระอินทร์อภัยและเจ้าจอม เหตุเกิดเดือน ๑๐ ปีวอก พ.ศ. ๒๓๕๕ เจ้าจอมมารดาน้อย ธิดาคนที่สองของพระอินทร์อภัยคือ คุณหญิงน้อย หรือเจ้าจอมมารดาน้อย ได้เป็นหม่อมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ ประสูติพระราชโอรส ๒ พระองค์ คือ พระองค์เจ้านพวงศ์ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส องค์ต้นราชสกุลนพวงศ์ ณ อยุธยา และพระองค์เจ้าสุประดิษฐ์ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร องค์ต้นราชสกุลสุประดิษฐ์ ณ อยุธยา ปีวอก พ.ศ. ๒๓๖๗ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงโปรดให้สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จทรง ผนวช ซึ่งขณะนั้นพระองค์เจ้านพวงศ์และพระองค์เจ้าสุประดิษฐ์มีพระชันษาได้ ๒ ปีและ ๒ เดือนตามลำดับ ระหว่างที่ทรงผนวชอยู่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคตโดยมิได้ทรงมอบราชสมบัติแก่เจ้านายพระองค์ใด ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และพระบรมวงศานุวงศ์ได้ถวายสิริราชสมบัติแด่พระเจ้าลูก ยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เป็นรัชกาลที่ ๓ แห่งพระราชวงศ์จักรี สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎจึงครองสมณเพศต่อมาตลอด ๒๗ ปี ช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าจอมมารดาน้อยได้อาศัยอยู่กับพระพงษ์นรินทร์ผู้เป็นลุงและเลี้ยงดู พระองค์เจ้านพวงศ์ ส่วนพระองค์เจ้าสุประดิษฐ์นั้น สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งประทับอยู่ ณ พระราชวังเดิมธนบุรีทรงเป็นผู้ชุบเลี้ยงให้การอุปถัมภ์ เจ้าจอมมารดาน้อยเป็นสตรีผู้น่าสงสาร เนื่องด้วยสมเด็จพระอัยกาคือพระเจ้าตากสินมหาราชก็ถูกสำเร็จโทษ พระบิดาคือสมเด็จเจ้าฟ้าชายทัศไภยหรือพระอินทร์อภัยก็ถูกประหารชีวิต ชีวิตส่วนตัวก็ตกระกำลำบาก เพราะพระสวามีเสด็จทรงผนวชอยู่ถึง ๒๗ พรรษา เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จครองราชแล้วก็ไม่โปรด และไม่ยกย่องเจ้าจอมมารดาน้อยเป็นพิเศษแต่ประการใด เจ้าจอมมารดาจึงมีพฤติกรรมการแสดงออกแปลกๆ ซึ่งอาจจะเป็นการเรียกร้องความสนใจก็ได้ ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จด้วยกระบวนเรือจากตำหนัก น้ำถึงวัดเขมาตลาดแก้วมีเรือเก๋งลำหนึ่งพายตามขึ้นมาแข่งกับเรือพระที่นั่ง เจ้าหมื่นสรรเพธภักดี (เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง เพ็ง) ร้องถามก็ไม่บอก บ่าวผู้หญิงในเรือเก๋งนั้นพากันหัวเราะเยาะ ปรากฏว่าเรือเก๋งลำนั้นเป็นของเจ้าจอมมารดาน้อยซึ่ง "มาทำหน้าที่เป็นเล่นตัว ล้อข้าต่อหน้าทาสกำนัลน่าชังหนักหนา" เมื่อเจ้าจอมมารดาน้อยถึงแก่อนิจกรรม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้พระราชทานเพลิงศพที่สวนท้าย วังของพระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นวิษณุนารถนิภาธร เมื่อเสร็จงานศพเจ้าจอมมารดาน้อยแล้ว กรมหมื่นวิษณุนารถนิภาธรจึงทรงกะการสร้างวัดขึ้นบริเวณสวนท้ายวังที่เป็นที่ ปลงศพเจ้าจอมมารดาน้อย วิธีการที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิษณุนารถนิภาธรทรงกะการสร้างวัด คือทรงโปรยเงินไปทั่วบริเวณพื้นที่ที่ทรงกำหนดว่าเป็นที่สร้างวัดแล้วโปรด ให้บ่าวไพร่ในพระองค์พากันแผ้วถางต้นไม้ใบหญ้าเพื่อเก็บเอาเงินนั้น ซึ่งก็คือวิธีการจ่ายค่าแรงของพระองค์นั่นเอง การสร้างวัดยังไม่แล้วเสร็จพระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นวิษณุนารถนิภาธรสิ้นพระ ชนม์ลงเมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๔๐๕ พระชันษาเพียง ๓๘ ปี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้พระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นมเหศวร ศิววิลาศทรงสร้างวัดต่อ แต่กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศก็สิ้นพระชนม์ลงไปอีกเมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๑๐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงรับเอาการสร้างวัดนั้นมาดำเนินการ ต่อ โดยทรงโปรดให้พระยาราชสงครามเป็นแม่กองก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จจึงพระราชทาน นามวัดว่า "วัดตรีทศเทพ" ซึ่งมีความหมายว่า "เทวดาสามนายสร้าง" แล้วโปรดให้แห่พระครูจุลานุนายก (คง) พระครูปลัดซ้ายฐานานุกรมของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์จากวัดบวรนิเวศวิหารมาครองวัดตรีทศเทพเป็นเจ้า อาวาสองค์แรก กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส เมื่อแรกประสูติมีพระยศเป็นหม่อมเจ้า พระนามว่าหม่อมเจ้านพวงศ์ หรือนภวงศ์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วโปรดให้ เลื่อนพระยศเป็นพระองค์เจ้ามีพระนามตามพระสุพรรณบัฏว่า "พระองค์เจ้านพวงศ์ วรองค์เอกอรรคมหามกุฎ ปรมุตมราโชรส" และได้รับสถาปนาเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามว่า "พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส" ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้รับราชการใดๆ แต่มาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถได้ทรงเป็นผู้กำกับกองทหารล้อมวัง และเช่นเดียวกัน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร เมื่อแรกประสูติมีพระยศเป็นหม่อมเจ้าสุประดิษฐ์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จครองราชย์แล้วทรงโปรดให้ เลื่อนพระยศเป็น "พระองค์เจ้าสุประดิษฐ์ วรฤทธิราชมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชวโรรส" และเป็นพระองค์เจ้าต่างกรมทรงพระนามว่า พระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร ซึ่งได้ทรงกำกับราชการกรมพระคลังสมบัติ และได้ทรงเสด็จไปศึกษาดูงานการปกครองและการพัฒนาบ้านเมืองยังสิงคโปร์ โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาให้เสด็จไปดูงานพร้อม สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ซึ่งในขณะนั้นท่านมีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิษณุนารถนิภาธรจึงเป็นเจ้านายชั้นพระราชโอรสพระองค์แรกที่เสด็จไป ศึกษาดูงานยังต่างประเทศ พระนัดดาในสมเด็จพระเจ้าตากสิน พระนัดดาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่รับราชการเป็นเจ้าจอมมารดาในพระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือธิดาของเจ้าพระยานคร (น้อย) ซึ่งท่านถวายธิดาเกือบทุกคนเป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสอง พระองค์ ธิดาคนโต คือ เจ้าจอมมารดาน้อยใหญ่ เป็นเจ้าจอมมารดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติพระราชโอรส คือ พระองค์เจ้าเฉลิมวงศ์ ธิดาคนที่ ๑๓ คือ เจ้าจอมมารดาบัวในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติพระราชโอรส พระราชธิดา ประกอบด้วย ๑. พระองค์เจ้าเฉลิมลักษณเลิศ สิ้นพระชนม์แต่ยังทรงพระเยาว์ ๒. กรมขุนสิริธัชสังกาศ ต้นราชสกุลศรีธวัช ณ อยุธยา ๓. พระองค์เจ้าหญิงอรไทยเทพกัญญา ๔. กรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ ต้นราชสกุลวัฒนวงศ์ ณ อยุธยา ๕. พระองค์เจ้าดำรงฤทธิ์ สิ้นพระชนม์แต่ยังทรงพระเยาว์ กุลสตรีซึ่งเป็นพระนัดดาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชหลายท่านได้เป็นชายา และหม่อมของเจ้านายฝ่ายหน้าแห่งพระราชวงศ์จักรี ๑. คุณหญิงแสง ธิดาคนโตของพระองค์เจ้าอัมพวัน พระราชโอรสพระองค์ที่ ๓ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้เป็นชายาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น ๒ กรมพระพิทักษ์เทเวศร์ ต้นราชสกุลกุญชร ณ อยุธยา กรมพระพิทักษ์เทเวศร์ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๒๒ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงรับราชการกำกับกรมม้าและได้รับทรงกรมเป็นกรมหมื่นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้เลื่อนพระยศ เป็นกรมพระและได้กำกับกรมพระคชบาลอีกตำแหน่งหนึ่ง กรมพระพิทักษ์เทเวศร์เป็นผู้สร้างวังบ้านหม้อขึ้นที่บริเวณคูเมืองด้านตะวัน ออก ซึ่งที่ตั้งในปัจจุบันคือถนนอัษฎางค์ตรงข้ามกรมการรักษาดินแดน วังบ้าน หม้อเป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นในกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งนอกเหนือจากพระบรมมหาราชวัง และพระราชวังบวรสถานมงคล ส่วนที่ยังปรากฏที่เป็นเอกลักษณ์คือ ท้องพระโรงซึ่งถือเป็นแบบฉบับท้องพระโรงของวังเจ้านายระดับพระองค์เจ้า คุณหญิงแสงประสูติโอรสและธิดาคือ หม่อมเจ้าหญิงลมุน กุญชร และหม่อมเจ้าสิงหนาท กุญชร ซึ่งเป็นพระโอรสองค์ใหญ่ของกรมพระพิทักษ์เทเวศร์ หม่อมเจ้าสิงหนาทได้รับราชการในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว ได้ทรงบัญชาการกรมพระอัศวราช กรมมหรสพ และได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระองค์เจ้ามีพระนามว่าพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิงหนาทราชดุรงคฤทธิ์ พระองค์เป็นพระบิดาของเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (หม่อมราชวงศ์หลาน กุญชร) ผู้บัญชาการกรมม้า และกรมมหรสพ ท่านเป็นเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการและกระทรวงเกษตราธิการตามลำดับ ท่านถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๔๖๕ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒. คุณหญิงพึ่ง ธิดาคนที่ ๔ ของพระองค์เจ้าอัมพวันได้เป็นชายาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสีหวิกรม พระราชโอรสพระองค์ที่ ๒๑ ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยศเดิมคือ พระองค์เจ้าชุมสาย ทรงประทับทรงงานที่วังท่าพระ ทรงเป็นเจ้านายที่มีพระนิสัยดุ เอาจริงเอาจังกับหน้าที่ราชการได้ทรงรับราชการสนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรม ชนกนาถ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอัธยาศัยเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ โปรดงานก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ไม่เน้นรายละเอียดวิจิตรตระการตามากนัก ทรงมีความสามารถในการคำนวณตามแบบสถาปัตยกรรมไทยได้ทรงกำกับราชการกรมช่าง ศิลาและกรมช่างสิบหมู่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสิงหวิกรมทรงเป็นต้นราชสกุลชุมสาย ณ อยุธยา สิ้นพระชนม์เมื่อปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ ๓. คุณหญิงพลับ ธิดาของสมเด็จเจ้าฟ้าทัศพงษ์ หรือพระพงษ์นรินทร์ได้เป็นหม่อมห้ามของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นภูมินทร ภักดี พระราชโอรสพระองค์ที่ ๑๕ ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับราชการกรมช่างสิบหมู่ คุณหญิงพลับมีโอรส ๓ พระองค์ คือ หม่อมเจ้าสารภี ลดาวัลย์ หม่อมเจ้าชาย ลดาวัลย์ และหม่อมเจ้าเผือก ลดาวัลย์ เมื่อทรงพระชราภาพพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นภูมินทร์ภักดี ทรงประชวร ดวงพระเนตรเป็นต้อ ทอดพระเนตรไม่เห็น และในครั้งนั้นเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) ก็ป่วยเป็นโรคตา เช่นเดียวกันพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้ติดต่อแพทย์ตะวันตกเข้ามาผ่าตัดตาของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ มหาโกษาธิบดี และโปรดให้ผ่าตัดพระเนตรของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูมินทรภักดี จนสายพระเนตรหายเป็นปกติ และได้ฉายพระรูปมอบให้แพทย์ฝรั่งเป็นที่ระลึกด้วย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูมินทรภักดีสิ้นพระชนม์เมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๔๑๗ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๔. คุณหญิงทับ ธิดาของสมเด็จเจ้าฟ้าศิลา พระราชโอรสพระองค์ที่ ๘ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้เป็นหม่อมของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระรามอิศเรศ พระราชโอรสพระองค์ที่ ๒๒ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งได้รับราชการศาลรับสั่งและความฎีกา ทรงเป็นต้นราชสกุลสุริยกุล ณ อยุธยา นอกจากการรับราชการฝ่ายในเป็นเจ้าจอมมารดาหรือบาทบริจาริกาในพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือเป็นหม่อมในเจ้านายฝ่ายหน้าแห่งพระราชวงศ์จักรีแล้ว กุลสตรีแห่งสกุลวงศ์พระเจ้ากรุงธนบุรีหลายท่านได้รับราชการใกล้ชิดพระราช สำนัก เช่น คุณหญิงจั่น และคุณหญิงขาว ธิดาของสมเด็จเจ้าฟ้าชายทัศนพงศ์ คุณหญิงจั่นเป็นพระนมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรียกกันทั่วไปว่า "พระนมจั่น" ซึ่งเป็นพระนมที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ความเคารพรัก ส่วนคุณหญิงขาวเป็นพระนมของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระจักรพรรดิพงศ์ สมเด็จพระอนุชาร่วมพระครรภ์กับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว